การเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่อยู่ในสภาพของ “การเลือกตั้งที่แท้จริง”เป็นแต่เพียงการ “เขียนกติกา” ใช้เวลา ใช้งบประมาณ ใช้อำนาจ และใช้สื่อ เพื่อถ่ายโอนรัฐบาลที่ตั้งขึ้นหลังการรัฐประหาร ให้มาอยู่ในสภาพเป็น “รัฐบาลจากการเลือกตั้ง” เท่านั้น
จะทำยังไงได้ ในเมื่อเกมการเมืองเวลานั้น ฝ่ายพรรคเพื่อไทยและเครือข่าย ตลอดจนกองเชียร์ ในคอนเซ็ปต์ว่า ฝ่ายประชาธิปไตย หรือรัฐบาลที่ชอบธรรม ต้อง “มาจากการเลือกตั้ง”
เข้าปีที่ 5 ไม่มีทางเลี่ยงสำหรับรัฐบาลรัฐประหารอีกต่อไป ในการ “นิ่งอยู่” กับ “อำนาจที่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล”
การเคลื่อนเข้าสู่ “การเลือกตั้ง” จึงเกิดขึ้น พร้อมๆ กับการ “เตรียมการ” สู่ “ชัยชนะในการเลือกตั้ง”
เริ่มตั้งแต่ชง “คำถามพ่วง” ที่โคตรจะชี้นำให้คนต้องรับ
“ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”
ลองถามง่ายๆ กว่านี้สิ ว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะให้ สว. มาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกของพวกท่าน”
ซึ่งในเวลานั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สว. จะมาจากการเลือกของ คสช. แต่อะไรที่ไม่คิดว่าจะเกิด มันก็เกิด เพราะเมื่อถึงขั้นทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ก็เกิดการชงกันเองอีก เพื่อจะให้ คสช. เป็นผู้เลือก สว.
มันทุเรศไหมครับ ที่สปท. ชงว่าต้องมีคำถามพ่วง สนช. เห็นชอบให้มีคำถามพ่วง สุดท้ายมีคำถามพ่วง เกิดบรรยากาศหว่านล้อมให้ประชาชนรับทั้งรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ไม่งั้น “ลุงตู่” จะมีอันเป็นไปในทางการเมือง สุดท้ายผ่านประชามติทั้งคู่
โอเค นั่นพอจะข่มความทุเรศลงได้บ้าง เพราะมาจากประชามติของประชาชน แต่สุดท้าย คสช. สนช. มาชงกันจนได้เงื่อนไขว่า สว.จะมาใน 3 รูปแบบ คือ
1.มาจากการเลือกไขว้กันเองของผู้สมัคร ตั้งแต่ระดับ อำเภอ จังหวัด ไล่มาจนได้รายชื่อชุดใหญ่ แล้วส่งให้ คสช. เลือก!! กลุ่มนี้ให้มีแค่ 50 คนพอ!!
2.มาจาก “ตำแหน่ง” 6 คน คือ ผบ.เหล่าทัพ เรือ บก อากาศ สูงสุด ตำรวจ และปลัดกระทรวงกลาโหม อันเป็นตำแหน่งที่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา เคยเป็น และมาเป็น สว. ด้วยสถิติการประชุมต่ำมาก และนายพรเพชร วิชิตชลชัย (ซึ่งบัดนี้ก็เป็น สว.ด้วย) บอกว่า ปีแรกท่านลาเยอะ เพราะติดงานราชการ พอพ้นจากตำแหน่งปลัดแล้ว ท่านก็มาประชุมมาก ไม่ค่อยได้ขาด เอ๊ะ!! ถ้างานของปลัดกลาโหมมันมากขนาดนั้น เอาตำแหน่งนี้มาเป็นอีกทำไมล่ะ?
3.อีก 184 คน มาจากการเลือกโดย คสช. ล้วนๆ ผลปรากฏว่า เป็นทหาร ตำรวจ เสียเยอะ ที่เหลือมาจากแม่น้ำ 5 สายของ คสช.เอง และคณะรัฐมนตรี สมทบด้วยตัวแทนกลุ่มทุน “สานใจประชารัฐ” จน “ตำตาตำใจ” ให้คนรู้สึกอย่างมาก แต่ท่านๆ ใน คสช. ก็ไม่แคร์ บอกว่าหน้าเก่าแล้วไง เคยทำงานด้วยกันมา เห็นฝีมือ เข้าใจกัน มันจะเป็นอะไรไป ให้โอกาสเขาทำงานก่อนไหม
ก็ต้องได้อยู่แล้ว ประชาชนอย่างเราจะทำไงได้ (ฮา...)
ในที่สุด สมการมันก็ออกมาว่า รัฐประหารมา - ตั้งคนขึ้นเขียนกติกา - คนเขียนกติกาให้ คสช. ยังมีอำนาจสืบเนื่องผ่านตำแหน่งต่างๆ ทั้งตรงและอ้อม - คนเขียนกติกาเหล่านั้น ได้รับการแต่งตั้งให้ทำงานต่อ โดยไม่ผิดอะไร เพราะกติกาที่พวกเขาเขียน เขียนให้เป็นได้ - คสช. เป็นคนเลือกคนเขียนกติกาพวกนั้น ด้วยกติกาที่พวกนั้นเขียนหรือร่วมพิจารณาผ่านกฎหมาย เอามาดำรงตำแหน่งใหม่ – และคนที่ คสช. เลือกนี้แหละ จะไปมีสิทธิเลือกหรือไม่เลือก หัวหน้า คสช. เป็นนายกฯ ในที่ประชุมร่วมรัฐสภา
นวัตกรรมแห่งประชาธิปไตย ที่ไม่มีประเทศใดในโลกผลิตมาก่อน
ในยามห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหว ก็มีกลุ่มนักการเมืองเก่ากลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหว เกี้ยวพาผู้คนมารวมกลุ่มกันตั้งพรรค มีรัฐมนตรี 4 คน ลาออกมาเป็นแกนนำพรรค ชื่อพรรคเป็นชื่อนโยบายของรัฐบาล คสช. จัดระดมทุนด้วยงานเลี้ยงโต๊ะจีน ที่มีชื่อหน่วยงานของรัฐไปพัวพันด้วย บางส่วนเป็นบริษัทสานใจประชารัฐที่ทำงานร่วมกับรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นบริษัทที่สำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบว่าผลประกอบการขาดทุน แต่มีน้ำใจไปซื้อโต๊ะจีน
ระหว่างหาเสียง นายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อจะไปเป็นนายกฯ ของพรรคบางพรรค ลงพื้นที่พบประชาชน แจกงบประมาณ ถี่ยิบ รองนายกฯ ก็ออกแจกโฉนดที่ดิน บัตรคนจนถูกเติมเงินถี่ยิบ อสม. ได้รับเงินขึ้นและโอนเงินทันที ย้อนหลังให้อีกหลายเดือนด้วย
สื่อของรัฐ สื่อของกองทัพ โฆษณาผลงานของรัฐบาล คสช. ถี่ยิบ ในช่วงหาเสียง
ยังไม่รวมสื่อแนวร่วมและสื่อโเชียล ที่รุมอวยบางพรรค และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของพรรคอื่นๆ อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะแคมเปญ “เลือกความสงบจบที่ลุงตู่” อันเป็นการ “ทุบ” พรรคประชาธิปัตย์ใน กทม. เต็มเหนี่ยว
จึงน่าคิดว่า หากพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐรอบนี้ แสดงว่าใจ ปชป. นี่ กว้างสุดๆ
ครับ, เวลานี้ ทุกสนามข่าวพุ่งเป้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์ หลังมีหัวหน้าพรรคคนใหม่และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่แล้ว รอแค่กระบวนการของ กกต.รับรอง ก็จะนำไปสู่การประชุม เพื่อหามติว่า พรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ตรงไหนในการเมืองรอบนี้
ทางที่ประชาธิปัตย์จะไปได้มีอะไรบ้าง
1.เข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ
1.1 ร่วมแบบไม่ต่อรองเงื่อนไข
1.2 ร่วมแบบมีเงื่อนไข
ซึ่งไม่ว่าจะร่วมแบบใด ก็จะมีทั้งคนเข้าใจและไม่เข้าใจ ต้องมีทั้งคนยอมรับและไม่ยอมรับ ต้องถูกด่าอย่างแน่นอน โดยร่วมแบบไม่มีเงื่อนไขคือ บอกเลยนะว่าขมขื่นใจ แต่เพื่อให้บ้านเมือง “เดินหน้าต่อไป” ไม่ติดหล่ม ดังนั้นเข้าร่วมเพื่อเรื่องนี้ จึงไม่เอาตำแหน่งอะไรเลย และจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานด้วย จะไม่ยอมให้ทุจริตผิดกฎหมาย จะไม่ยอมให้ใช้อำนาจในทางมิชอบ จะเอาเสียงทุกข์ร้อนของประชาชนมาตั้งกระทู้ถามตลอดเวลา ซึ่งก็จะต้องมีคนถามว่าแล้วจะไปทำแบบนั้นทำไม ไหนๆ ก็จะร่วมแล้ว ก็เอากระทรวงมา ผลักดันนโยบาย ทำงานให้มันเป็นรูปธรรมไปด้วยตัวเองสิ ถูกด่าอยู่แล้ว ก็เอาโอกาสมา แต่ไม่ได้เอามาทำเพื่อตัวเอง เอามาทำเพื่อพิสูจน์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ทำงานได้ และทำอย่างซื่อสัตย์ ทำอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วย ซึ่งหากยอมรับ “ที่มา” และ “กระบวนการ” ที่รัฐบาลซีกนี้ทำมาได้ ก็ร่วมได้เลย หรือทำเป็นมองไม่เห็น ว่าเขา “ชนะมาด้วยวิธีใด”
2.ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ และเครือข่าย
ข่าวลือและการทอดสะพานเกิดให้เห็นทุกวัน ว่าประชาธิปัตย์จะไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย และเครือข่ายที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ซึ่งถ้าวางเงื่อนไขยิบย่อยลงก่อน และมองแค่ “ประเทศชาติจะได้อะไร” นั้น จะพบว่า
2.1 ประเทศชาติได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากกว่า อันนี้พูดในกรณีที่พรรคภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และชาติพัฒนา มาร่วมด้วย เพราะเสียงจะเกิน 300 เสียง ซึ่งหากอีกฝ่ายใช้เสียง สว. ปิดกั้นการเป็นรัฐบาล ประชาชนก็จะได้ “ใบเสร็จ” ที่สมบูรณ์ว่า นี่ไง กระบวนการ “ปั้น สว.” ทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มเขียนกฎหมาย เลือกคน จนมาสู่การโหวต มันเตรียมไว้เพื่อการนี้
2.2 ได้ผ่อนเบาความขัดแย้ง เพราะแต่เดิม พรรคเหล่านี้เป็นคู่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ก่อนจะมี คสช. กับพลังประชารัฐ มาเป็นคู่ขัดแย้งใหม่ในปัจจุบัน ที่เรียกร้องความปรองดอง หยุดทะเลาะกัน อยากเห็นบ้านเมืองสงบ ไม่ต้องไปจบที่ “ลุงตู่” ก็ได้
2.3 หยุดอำนาจของทหารในทางการเมือง ส่งเขากลับเข้ากรมกอง เหลือไว้แต่ “ทหารแก่” ใน สว. ซึ่งก็ย่อมจะตรวจสอบดุลและคานอำนาจ อย่างที่ควรจะทำ ที่ควรจะเป็นมากกว่าได้รัฐบาลที่เลือกพวกตนมา เช่นเดียวกับมุ้งต่างๆ ในพลังประชารัฐก็จะได้เลิกแย่งเก้าอี้กัน แล้วหันมาทำหน้าที่ “ตรวจสอบรัฐบาล” กันต่อไป
แต่ถามว่าง่ายไหม ไม่ง่ายเลย หากพรรคอนาคตใหม่ยังเล่นการเมืองแบบไร้กาลเทศะอย่างที่เป็น และประตูนี้แทบจะปิดสนิททันทีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประกาศจะเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคเพื่อไทยดูจะ “เล่นเป็น” มากกว่า สงบเสงี่ยม เรียบร้อย ลึกๆ คงหาทางเจรจากันอยู่เพื่อให้ “เป็นไปได้” ด้วยเป้าหมาย “ปิดสวิตช์
คสช.” เอารัฐสภากลับมาเป็นของ “คนเลือกตั้ง” หมดเวลาให้เขา“ยึดอำนาจรอบที่ 2” โดยเอากระบวนการประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรม แต่เอาเปรียบทุกทาง
เงื่อนไขนี้ ต้องมีคนด่าระงมเมือง แต่อธิบายได้ว่า คุณอยากเห็นประเทศชาติเดินไปข้างหน้ากันไม่ใช่หรือ นี่ไง เรากำลังจะพาไป ด้วยเสียงที่มีเสถียรภาพ ใช่ เราเคยเป็นคู่ขัดแย้งกันมาก่อน แต่คุณไม่อยากเห็นความขัดแย้งนั้นทุเลาลงกันบ้างหรือ คุณยังไม่เห็นภัยของความขัดแย้งกันเลยหรือ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มันทำลายโอกาสสารพัดสารพันไปมากมายแค่ไหน พวกคุณอยู่ร้อนนอนทุกข์ โกรธกันทุกวัน เกลียดกันทุกวัน ด่าทอกันทุกวัน นี่คือบ้านในแบบที่คุณต้องการกันหรือ
ใช่พรรคเพื่อไทยอาจมีประวัติที่มีบุคคลของพรรคทำการทุจริตโกงกิน คนเหล่านั้นถูกกระบวนการยุติธรรมจัดการไปแล้วเป็นจำนวนมาก เราที่เหลืออยู่นี้ ยืนยันว่าจะทำงานการเมืองอย่างสุจริต และขอโทษที่ครั้งหนึ่ง ได้ใช้สภาไปในทางเลวทราม ด้วยการสนับสนุน พ.รบ.นิรโทษกรรม ซึ่งทำให้ประชาชนคนบริสุทธิ์ตายฟรีโดยไม่ให้กระบวนการยุติธรรมได้เอาตัวคนผิดมาลงโทษ เป็นความโง่เขลาและเห็นแก่ตัวของเรา ที่สำนึกแล้ว และอยากจะใช้โอกาสนี้พิสูจน์ตัวเองว่า เราจะทำเพื่อพี่น้องประชาชนโดยใช้อำนาจในรัฐสภาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเริ่มอนาคตของเราโดยไม่ให้อดีตมากดหัวเราไว้ในการควบคุมบงการของนายทักษิณ ชินวัตร อีกแล้ว เราได้ตัดขาดจากกันแล้วอย่างสิ้นเชิง แต่ในฐานะคนรู้จักกัน เคยเคารพกัน ก็อาจมีบางคนที่ยังมีสัมพันธ์ส่วนตัว แต่มันจะไม่มาเกี่ยวข้องกับอนาคตทางการเมืองอย่างเด็ดขาด
ส่วนพรรคอนาคตใหม่ ก็ต้องทำให้คนแน่ใจเรื่อง “ท่าทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” ว่าคุณยืนอยู่ตรงจุดไหน
และเพื่อความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลในรูปแบบพรรคร่วมสายนี้จะไปได้ ขอให้พรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคภูมิใจไทยเป็น “ผู้นำ” ในการจัดตั้งและบริหารงานในกระทรวงสำคัญๆ ต่างๆ โดยพรรคที่เหลือพร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดโอกาสในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนที่มีอยู่มาก โดยปราศจากความขัดแย้งในบ้านเมือง ถึงเวลาวางเรื่องส่วนตัว มาทำเรื่องส่วนรวม เพื่อโอกาสของประเทศชาติที่คอยไม่ได้อีกแล้ว ปัญหาสารพัดกำลังถาโถมเข้ามา ประเทศชาติต้องเดินหน้าได้ และเดินไปด้วยรัฐบาลเสียงข้างมาก ที่มากพอ ได้ใช่เสียงปริ่มน้ำ หายใจรวยริน หาความเชื่อมั่นจากนักลงทุนไม่ได้
3.ไม่ร่วมกับฝ่ายใดเลย ขอเป็นฝ่ายค้านอิสระ
ฝ่ายค้านอิสระ คือ ไม่เป็นรัฐบาล และไม่ได้ร่วมกับฝ่ายค้านที่ประชาชนไม่ไว้ใจ ขอเป็นตัวของตัวเอง ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงาน โดยจะค้านอย่างสร้างสรรค์ และสนับสนุนในสิ่งที่รัฐบาลทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน อย่าห่วงว่าประเทศชาติจะเดินหน้าไม่ได้ ในบางประเทศก็เดินหน้าได้ด้วยกลไกเช่นนี้ โครงสร้างเช่นนี้
ประชาธิปัตย์เคารพการตัดสินใจเลือกของผู้สนับสนุนที่ผ่านมา ไม่อาจตระบัดสัตย์เสียสัจจะซึ่งอยู่ในคติธรรมประจำตราของพรรคอยู่แล้ว และเป็นอุดมการณ์ของพรรคด้วย
หากรัฐบาลทำสิ่งที่ชอบ เราโหวตช่วย หากรัฐบาลทำสิ่งที่ชั่ว เราต้องขวาง เรายืนอยู่ข้างของประชาชน เพื่อยืนหยัดความถูกต้อง ไม่เล่นเกมแห่งอำนาจกับคู่ขัดแย้งใหม่
เราเคยเตือนแล้วว่า หากเราเอาแต่ “เลือกข้าง” ไม่ “เลือกตั้ง” ด้วยการเลือกนโยบายเพื่อแก้ปัญหา บ้านเมืองจะไปไม่ได้ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดสิ่งนี้ เพราะเห็นทิศทางแล้วว่า สองขั้วใหญ่เล่น “ความขัดแย้ง” เน้น “การเลือกข้าง” แต่ประชาธิปัตย์เห็นปัญหา เห็นความทุกข์ของประชาชน เห็นการเสียโอกาสในการลงทุนและพัฒนาเพื่อคนในชาติจึงพยายามเสนอทางเลือกที่ 3 ที่จะนำพาประชาชนเดินออกจากความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากัน ซึ่งมีคนเห็นจุดยืนนั้น และสนับสนุนเรา ซึ่งเราทรยศพวกเขาไม่ได้ เราขอยืนยันที่จะรักษาจุดยืนนี้ต่อไปโดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าประเทศ
เชื่อไหม ไม่ว่าประชาธิปัตย์จะเลือกหนทางใด เขาหนีไม่พ้น “เสียงด่า”
ดังนั้น คิดให้รอบคอบและกล้าหาญที่จะเลือก แล้วให้ “วันเวลา” พิสูจน์
ประชาธิปัตย์อยู่มา 73 ปีได้ เพราะกล้าหาญที่จะให้ “เวลา” พิสูจน์จุดยืน อุดมการณ์ และคุณค่าของประชาธิปัตย์มาตลอดมิใช่หรือ?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี