นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ประเทศไทยของเราได้ถลำลึกลงไปในวังวนแห่งความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องและขยายวงอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งเกิดความรุนแรงขึ้นหลายครั้ง และบางครั้งก็หวุดหวิดจะเกิดเป็นสงครามกลางเมือง
ทว่าโชคดีที่แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง วิกฤติทั้งหลายจึงได้รับการฝ่าฟันผ่านพ้นมาได้โดยสวัสดี ไม่ถึงกับเกิดเป็นสงครามกลางเมือง ไม่ถึงกับการแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นรัฐต่างๆ และไม่ถึงกับเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบอื่น
จนกระทั่งสถานการณ์มาจนถึงช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด ความขัดแย้งในทางการเมืองกลับขยายตัวรุนแรงลึกซึ้งยิ่งกว่าทุกระยะที่ผ่านมา นั่นคือไม่เพียงแต่ความขัดแย้งระหว่างสีเหลืองกับสีแดงยังคงดำรงอยู่ แต่กลับมีความขัดแย้งเพิ่มขึ้นเพราะมีสีเขียวเข้ามาเป็นฝักฝ่ายในความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีกฝ่ายหนึ่ง กลายเป็นสามเส้าสามขั้ว และทำให้ปัญหาความขัดแย้งสลับซับซ้อนยุ่งยากมากกว่าทุกระยะที่ผ่านมา
แต่นั่นไม่อันตรายเท่ากับการบิดเบือนความขัดแย้ง จากความขัดแย้งทางการเมืองให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างความจงรักภักดีกับความไม่จงรักภักดี ซึ่งเป็นวิถีดำเนินที่เคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศเนปาล
บทเรียนของประเทศเนปาลก็คือมีรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างร้ายแรงที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายและความเกลียดชังให้กับประชาชนทั่วประเทศ แต่รัฐบาลนั้นกลับใช้อำนาจและความรุนแรงกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลราวกับว่าเป็นอริราชศัตรู
ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือรัฐบาลเนปาลได้กล่าวหาบรรดาพรรคการเมืองและคนทั้งหลายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลว่าเป็นพวกลัทธิเหมา ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศไทยในสมัยก่อนก็คือการกล่าวหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ เป็นพวกล้มเจ้านั่นเอง
ในช่วงต้นๆ ประชาชนเนปาลจำนวนหนึ่งก็สนับสนุนรัฐบาล เพราะความหวาดกลัวว่าคอมมิวนิสต์จะเข้ามาปกครองประเทศ ทำให้รัฐบาลชนะเลือกตั้งหลายครั้ง และทุกครั้งที่ชนะเลือกตั้งก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่และทุจริตคอร์รัปชั่นมากขึ้น
รัฐบาลเนปาลชนะเลือกตั้งหลายครั้ง แต่ทว่าทุกครั้งที่ชนะเลือกตั้งนั้น คะแนนเสียงของฝ่ายค้านหรือฝ่ายที่ไม่เอาด้วยกับรัฐบาลกลับเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยิ่งเลือกตั้งมากครั้งขึ้นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลก็มีจำนวนมากขึ้นและได้รับชัยชนะในที่สุด
และด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจที่ถูกใส่ร้ายกล่าวหามาเป็นเวลานาน เมื่อฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้รับชัยชนะจึงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
บทเรียนของประเทศเนปาลจึงเป็นบทเรียนสำคัญที่จะต้องศึกษาทำความเข้าใจและหาทางป้องกันแก้ไข อย่าให้เดินซ้ำรอยหนทางนั้นเป็นอันขาด
อันบ้านเมืองของเรานั้นอาจเปรียบเทียบได้กับเส้นสองเส้น คือเส้นตั้งเส้นหนึ่ง และเส้นขวางอีกเส้นหนึ่ง
ด้านบนสุดของเส้นตั้งก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะและจงรักภักดีของปวงชนชาวไทย
ด้านล่างสุดของเส้นตั้งก็คือพสกนิกรทั้งปวงใต้ร่มพระบารมี ที่มีความจงรักภักดีและมีความยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสรณะ ดังที่เป็นมาตั้งแต่บรรพกาลจนถึงบัดนี้
ส่วนเส้นขวางนั้น ด้านขวาสุดก็คือรัฐบาล หรือพรรคการเมือง หรือนักการเมืองที่ประกอบกันเข้าเป็นรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปโดยธรรมและกฎหมาย ตลอดจนระบบระเบียบทั้งหลายในการบริหารบ้านเมือง
ด้านซ้ายสุดของเส้นขวางก็คือพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่เป็นคู่แข่งขันกับฝ่ายรัฐบาล และทำการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล พรรคการเมืองและนักการเมืองใดสามารถเปลี่ยนฝ่ายย้ายข้างจากฝ่ายช่วงชิงอำนาจทางด้านซ้ายสุดมาเป็นรัฐบาลทางด้านขวาสุด ย่อมเป็นไปตามระบบการปกครองที่เป็นอยู่
นั่นคือเป็นเพียงการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองและนักการเมืองด้วยกัน ซึ่งในอดีตนั้นต่อสู้แข่งขันกันด้วยนโยบายต่างๆ รวมทั้งกลยุทธ์ทั้งหลายที่ใช้ต่อสู้กันในทางการเมือง เลือกตั้งเสร็จแล้ว ตั้งรัฐบาลแล้วก็ทำงานทางการเมืองร่วมกัน เป็นการประสานซ้ายขวาเพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมือง
แต่ทว่ามาถึงปัจจุบันนี้มีปรากฏการณ์ที่น่าวิตกอย่างยิ่งเกิดขึ้นและส่อไปในทางที่จะเดินหนทางเดียวกับประเทศเนปาล
นั่นคือมีการกล่าวอ้างอย่างไม่ละอายปากว่า พรรคการเมืองและผู้สนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่งเป็นฝ่ายที่จงรักภักดี
แล้วก็กล่าวหาผลักไสอย่างไร้ไมตรีจิตแห่งคนร่วมชาติเดียวกันว่าเป็นฝ่ายล้มเจ้า เป็นฝ่ายไม่จงรักภักดี
นี่คือการบิดเบือนเบี่ยงเบนการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในทางการเมืองอันเป็นเรื่องของเส้นขวางด้านซ้ายสุดกับด้านขวาสุด ซึ่งไม่เกี่ยวกับความจงรักภักดีแต่ประการใดเลย แต่กลับบิดเบือนเบี่ยงเบนให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างความจงรักภักดีกับความไม่จงรักภักดี
เป็นการดึงเอาสถาบันอันเป็นที่เคารพรักของสังคมไทยเข้ามาเป็นฝักฝ่ายทางการเมือง โดยที่จุดบนสุดของเส้นตั้งและจุดล่างสุดของเส้นตั้งนั้นเป็นความสัมพันธ์แบบฟ้าดินที่ต้องอยู่คู่กันนิรันดร และไม่ได้เป็นฝักฝ่ายของฝ่ายใด
ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องยุติการบิดเบือนเบี่ยงเบนลักษณะนี้โดยพลัน พรรคการเมืองและนักการเมืองแพ้ครั้งหนึ่งก็อาจเอาชนะในอีกวันหนึ่งได้ดังที่เคยเป็นมาร่วม 80 ปีแล้ว ดังนั้น ต้องไม่ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างฟ้าดินโดยเด็ดขาด!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี