“ทำงานให้หนักเก็บเงินมากๆ ตอนยังหนุ่มสาว..แล้วพักผ่อนสบายๆ หลังเกษียณ” เชื่อว่านี่คือหลักคิดที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยเป็นอย่างดี “แต่ดูเหมือนในอนาคตอันใกล้อาจไม่สามารถคิดและทำเช่นนี้ได้อีกต่อไป” จาก 2 ปัจจัยสำคัญคือ 1.สังคมสูงวัย อายุเฉลี่ยคนเราสูงขึ้นแต่เด็กเกิดใหม่น้อยลง กับ 2.ความปั่นป่วนทางเทคโนโลยี ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าอาชีพของตนจะไม่ถูกเทคโนโลยีแย่งงาน ฉะนั้นทุกคนอาจต้องพึ่งตนเองด้วยการทำงานไปตลอดชีวิต
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จัดงาน TDRI Annual Public Conference 2019 “สังคมอายุยืน : แข่งขันได้ และอยู่ดี มีสุข ได้อย่างไร?” ซึ่งในช่วงท้ายมีการเสวนาในหัวข้อ “ไทยแข่งขันและอยู่ดีมีสุขได้อย่างไรในสังคมอายุยืน?” โดยได้รับเกียรติจาก นพ.อุดม คชินทร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมเป็นวิทยากร
คุณหมออุดมเปิดประเด็นด้วยข้อมูลของเด็กเกิดใหม่ “20 ปีก่อนเด็กไทยเกิดปีละ 1.1 ล้านคน แต่ปีล่าสุดที่ผ่านมา (2561) เด็กไทยเกิดแค่ 6.7 แสนคน” ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 3 แสนคน เข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษา “มหาวิทยาลัยยังมีที่ว่างอีกราว 1 แสนที่นั่ง จากทั้งหมด 157 แห่งทั่วประเทศ เพราะมีเด็กเข้าเรียนน้อยลง”ฉะนั้นแล้วการกำหนดทิศทางของสถาบันการศึกษาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นกัน
“การศึกษาไม่ใช่สำหรับเด็กอย่างเดียวอีกแล้ว เด็กนั้นสำคัญแต่คุณต้องทำเป็นงานประจำ (Routine) คุณต้องทำแบบเชิงยุทธศาสตร์ ที่สำคัญเรามียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เรามีไทยแลนด์ 4.0 เราต้องตอบความเปลี่ยนแปลงบริบทประเทศโดยเฉพาะเรื่องสังคมสูงวัยกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลก ฉะนั้นการศึกษาไม่ใช่เฉพาะเด็กมัธยมแล้ว มันจะเป็นการศึกษาทุกช่วงวัย
คนวัยทำงานก็ต้องมาเพิ่มทักษะ (Up Skill) เรียนรู้ทักษะใหม่ (Re - Skill) เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ ขณะเดียวกันผู้สูงอายุที่มีประมาณ 16-17 ล้านคน จะปล่อยเฉยๆ ไม่ได้แล้ว สถานศึกษาต้องคิดว่าจะจัดหลักสูตรอย่างไรที่จะมองไปข้างหน้า ที่จะตอบโจทย์ประเทศ แล้วนำผู้สูงอายุมาพัฒนาทักษะใหม่แล้วส่งเข้าตลาดแรงงานในบริบทที่เหมาะสมกับเขา” รัฐมนตรีช่วย ศธ. กล่าว
คุณหมออุดมกล่าวต่อไปว่า เท่าที่สังเกตพบระยะหลังๆ มหาวิทยาลัยตื่นตัวเรื่องนี้มากขึ้นในการจัดหลักสูตรให้กับผู้สูงอายุซึ่งจะแตกต่างจากหลักสูตรทางการอย่างปริญญาตรี - โท - เอก “ผู้สูงอายุอาจไม่ได้ต้องการเรียนระดับปริญญา แต่อยากได้ความรู้ที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานที่ต้องการจะเข้าไปทำ” ดังนั้นในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีจึงได้ให้นโยบาย “เน้นไปทางด้านหลักสูตรระยะสั้น (Non - Degree) อบรมเฉลี่ยหลักสูตรละไม่เกิน 1 ปี มีวุฒิบัตร (Certificate) รับรอง” นอกจากนี้ ควรเป็นหลักสูตรที่ตอบสนองกับทิศทางการพัฒนาของประเทศด้วย
ขณะที่ ศุภวิชช์ สงวนคัมธรณ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท แบล็คบ็อกซ์ทีม จำกัด เล่าถึงประสบการณ์การจัดหลักสูตรฝึกอบรมว่า “วันนี้มีเรื่องน่าสนใจตรงที่ผู้สูงอายุเองต้องการเรียนรู้ในสิ่งที่วัยรุ่นรู้” โดยหากย้อนไปสัก 5 - 6 ปีก่อน หลักสูตรที่ตั้งชื่อโดยใช้คำดูล้ำสมัยไฮเทคอย่าง “อินโนเวชั่น (Innovation)”, “ดีไซน์ (Design)”, “สตาร์ทอัพ (Start Up)” คนมาเรียนจะมีแต่คนอายุน้อยๆ แต่ช่วง 1-2 ปีล่าสุด หลักสูตรชื่อเดียวกันกลับพบคนวัยเลข 5 ขึ้นไป ที่เป็นระดับผู้บริหารบ้าง ครูบาอาจารย์ที่เกษียณแล้วบ้าง มาเรียนกันมากขึ้น
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นว่า “สังคมเริ่มกลมกลืนและผู้คนเริ่มตระหนักว่าคนทุกวัยอย่างไรก็ต้องอยู่ร่วมกัน” ซึ่งไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่มาเรียนหลักสูตรของวัยรุ่นเท่านั้น “ในทางกลับกันก็พบวัยรุ่นหรือคนหนุ่มสาวเพิ่มเริ่มทำงานใหม่ๆ ไปเรียนหลักสูตรที่ดูจะห่างไกลจากช่วงวัยของตนมาก เช่น การเผชิญความตายอย่างสงบ การดูแลผู้ป่วยติดเตียง” เป็นต้น
อีกทั้งย้ำว่า “ทักษะการสื่อสารพูดคุย” ทั้งระหว่างคนวัยเดียวกันและต่างช่วงวัย ก็เป็นเรื่องที่คนทุกวัยควรให้ความสนใจซึ่งหมายถึงทั้งชุดคำ ความเร็ว วิธีการถาม โดยการจัดอบรมที่ผ่านมากิจกรรมแรกคือการให้ผู้เข้าร่วมทุกวัยได้คุยกันก่อนว่าการสื่อสารหรือการเรียนรู้ระหว่างกันจะต้องเริ่มต้นอย่างไรบ้าง เช่น “ผู้สูงอายุอาจจะใช้คำกว้างคำใหญ่ แต่รุ่นลูกรุ่นหลานก็จะชอบความเร็ว บอกพ่อพูดมาเลยได้ไหม? หรือเมื่อกี้พ่อพูดมันคืออะไร?” ถ้าไม่มีเวลาหรือวิธีการเพียงพอก็อาจไม่ค่อยได้คุยกัน ที่ควรจะเรียนรู้กันได้ก็อาจห่างเกินกันไป
ศุภวิชช์ ยังกล่าวถึง “การเรียนรู้ใหม่ (Re - Learn) ซึ่งอาจต้องล้างวิธีคิดบางอย่างที่สั่งสมมา” เรื่องนี้ไม่เฉพาะกับผู้สูงอายุเท่านั้นแต่สำคัญกับทุกคน “เพราะความรู้ใหม่ๆ ทักษะใหม่ๆ มาเร็วมาก หากยังมองด้วยวิธีแบบเดิมก็อาจไม่เข้าใจหรือเข้าใจพลาดไป” เพียงแต่ประเด็นนี้จะเน้นไปที่ผู้สูงอายุเป็นพิเศษ เพราะยิ่งมีประสบการณ์เยอะการเรียนรู้ใหม่ก็ยิ่งยากไปด้วย
“มันอาจต้องใช้ความกล้าจริงๆ ในการที่จะบอกตัวเองว่าเรื่องนี้ฉันไม่รู้ เรื่องนี้เด็กเก่งกว่าฉัน เรื่องนี้ฉันเคยรู้แต่วันนี้มันไม่ทันแล้ว ผมว่ามันเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับมนุษย์เลยนะที่จะวางอาวุธต่างๆ ที่เก็บมาและคมมากแล้วในความคิดของเรา แต่วางเอาไว้ก่อนเพื่อรอรับอาวุธอันใหม่ ผมว่าเรื่องนี้ทำโปรแกรมเรียนรู้ค่อนข้างยาก มันต้องทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมในชีวิตประจำวันในบ้าน ในโรงเรียน ในที่ทำงาน ในการพูดกันและฟังกัน วางสิ่งที่เราอาจจะใช้ประสบการณ์เก่ามาตัดสิน” ศุภวิชช์ ระบุ
การส่งเสริมให้เรียนรู้ไม่ว่าอยู่ในวัยใดยังสร้างความรู้สึก “มีคุณค่า” ได้ด้วย ดังเรื่องเล่าจาก พญ.กอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการทางการแพทย์ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ในเครือบริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่พบว่า ในการจัดหลักสูตร “การเลี้ยงลูกอย่างมีคุณภาพ” มีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจด้วยเหตุผล “ต้องเลี้ยงหลานแทนพ่อแม่ที่ไปทำงาน” และเมื่อเรียนรู้ไปแล้วก็เห็นว่าตนเองยังมีคุณค่า
สุดท้าย ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวเสริมถึงบทบาทของ “โรงเรียนผู้สูงอายุ” ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศไทย ในการจัดหลักสูตรการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งมีหลายตัวอย่างน่าสนใจที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้
คงต้องฝากเป็น “การบ้าน” รัฐบาลใหม่ด้วย..เพื่อให้คนไทยพร้อมรับมือโลกที่เปลี่ยนแปลง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี