การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้แปลกประหลาดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะหลังการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ นั้น ในคืนของการเลือกตั้งหรืออย่างช้าไม่เกินสามวัน การจัดตั้งรัฐบาลก็จะแล้วเสร็จและจะมีการประกาศผลการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคร่วมรัฐบาลให้ประชาชนทราบอย่างชัดเจน
ทำให้บ้านเมืองไม่ชะงักงัน เศรษฐกิจและความเป็นไปในบ้านเมืองต่างๆ ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตามปกติ และหลังจากนั้นไม่กี่วันก็จะเปิดสภา และตั้งคณะรัฐมนตรีได้ในเวลาอันรวดเร็ว
รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมาแม้จะถูกติเตียนบ้างไม่มากก็น้อยแต่ก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาความสับสนวุ่นวายและความชะงักงัน โดยเฉพาะไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกแตกสามัคคีกันอย่างกว้างขวางเหมือนกับการเลือกตั้งครั้งนี้ และนี่ก็เป็นผลอัปลักษณ์อย่างหนึ่งของการออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560
การเลือกตั้งทั่วไปผ่านไปนานนับเดือนจึงสามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ ในขณะที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ที่ไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และที่เป็นการเลือกตั้งโดยทุจริตหลายร้อยเรื่อง และยังมีเรื่องร้องเรียนให้ยุบพรรคการเมืองนับสิบเรื่อง โดยเฉพาะมีเรื่องร้องเรียนให้เพิกถอนผู้สมัคร หรือ สส. ด้วยข้อหาขาดคุณสมบัติค้างคาอยู่ร่วม 60 เรื่อง
บัดนี้จะครบสองเดือนแล้ว มีการสั่งให้เลือกตั้งใหม่เพียงเขตเดียวคือเขต 8 ของจังหวัดเชียงใหม่เพราะเหตุผู้สมัครพรรคเพื่อไทยถูกเพิกถอนเนื่องจากถูกข้อหาว่าให้หรือสัญญาจะให้ในการเลือกตั้ง และมีเรื่องขอให้เพิกถอน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกจากตำแหน่ง สส. โดยมีข้ออ้างว่าขาดคุณสมบัติ รวมเป็นสองเรื่อง
จนมีการร้องเรียนและตั้งข้อสงสัยกับ กกต. ว่าทำไมจึงดำเนินการส่งศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้อย่างรีบเร่ง และยังมีผู้ไปร้องเรียนขอให้ กกต. เร่งส่งเรื่องการร้องเรียนผู้สมัครรายอื่นๆ ให้ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนบ้าง
อย่าคิดว่าจะทอดเวลาได้ตามใจชอบ เพราะกรอบเวลาเรื่องนี้กฎหมายบัญญัติให้ต้องดำเนินการโดยเร็ว อย่างน้อยก็ต้องมาตรฐานเดียวกันกับกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งถ้าหากเนิ่นช้าจนน่าเกลียดก็อาจมีผู้ไปดำเนินคดีอาญากับ กกต. ได้
นับถึงวันนี้ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้งไปแล้วรวม 349 เขตเลือกตั้ง หรือ 349 คน และประกาศรับรองผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อให้เป็น สส. 149 คน จึงมี สส. รวมทั้งสิ้น 498 คน ซึ่งได้ใช้เวลาร่วมสองเดือนแล้ว และเมื่อได้ สส.เกิน 95% จึงได้ขอรับพระราชทานพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกในวันที่ 20 พฤษภาคม 2562
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดการเสด็จพระราชดำเนินพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปกระทำรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 ในเวลาช่วงเช้า
จากนั้นในเวลาช่วงบ่ายก็จะมีการประชุมวุฒิสภาเพื่อเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภา และในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ก็จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
โดยผู้ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรจะมีฐานะเป็นประธานรัฐสภาด้วย และผู้ได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภาจะมีฐานะเป็นรองประธานรัฐสภา
จากนั้นจะมีการนำความกราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานแห่งสภาดังกล่าว รวมทั้งรองประธานด้วย
เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภาและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ผู้ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาก็จะเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป
ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติในบททั่วไปประกอบบทเฉพาะกาลสรุปได้ว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นจะเป็นการเลือกโดยรัฐสภา ซึ่งหมายความว่าเป็นการประชุมร่วมกันของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอันประกอบเข้ากันเป็นรัฐสภา ซึ่งจะมีขึ้นวันใดย่อมเป็นไปตามที่ประธานสภาจะเห็นสมควรกำหนดหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภาแล้ว
รัฐธรรมนูญยังบัญญัติต่อไปว่า ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นจะต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ ซึ่งหมายความว่าไม่น้อยกว่าจำนวนครึ่งหนึ่งของจำนวนรวม 748 คือต้องไม่น้อยกว่า 375 คน
ซึ่งหมายความว่าถ้า สว.ทั้ง 250 คน โหวตนายกรัฐมนตรีด้วยเสียงเอกฉันท์ ก็เพียงแค่มีเสียงจากสภาผู้แทนราษฎรอีกเพียง 125 คน ซึ่งขณะนี้พรรคพลังประชารัฐก็มี สส.ของกลุ่มพันธมิตรถึง 132 คนอยู่แล้ว จึงมีโอกาสที่จะได้นายกรัฐมนตรี
แต่นายกรัฐมนตรีนั้นจะบริหารราชการแผ่นดินได้จะต้องมีเสียงเกินครึ่งหนึ่งคือเกิน 250 เสียง และถ้าจะให้บริหารโดยมีเสถียรภาพก็ต้องมีเสียงถึง 280 เสียง โดยนัยนี้พรรคพลังประชารัฐก็ยังขาดเสียงสนับสนุนอยู่ 118 เสียง เป็นอย่างน้อยจึงจะถึงครึ่งหนึ่ง และที่เป็นจริงก็คือยังขาดถึง 148 เสียง จึงจะจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้
แล้วจะเอาคะแนนเสียงเหล่านี้มาจากไหน? เพราะถึงจะรวมพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนาแล้ว ก็มีเสียงอย่างมากแค่ 153 เสียง แต่ในความเป็นจริงกลับขาดจำนวนอีกไม่น้อย เพราะพรรคประชาธิปัตย์นั้นได้แตกเป็นสองขั้ว คือขั้ว 25 เสียง และขั้ว 27 เสียง
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการรวบรวมคะแนนเสียงต่างๆ ยังไม่นิ่ง จึงต้องติดตามดูต่อไปอย่างระทึกใจ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี