เพียงแค่การประชุมรัฐสภานัดแรกเพื่อลงคะแนนเลือกประธานรัฐสภา (เมื่อช่วงสายของวันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม 2562) สาธารณชนได้เห็นชัดแล้วว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ของไทยมีพฤติกรรมดีงามหรือสามานย์สถานใด แล้วการกระทำของ สส.ที่แสดงออกมานั้น เป็นการทำไปตามภาระหน้าที่ของ สส.หรือไม่ คำถามนี้ สาธารณชนสามารถตอบได้กระจ่างชัด
ขออนุญาตฟื้นความรู้ให้คุณผู้อ่านสักนิดว่าหน้าที่หลักของ สส. มีดังต่อไปนี้
1.ตรากฎหมายเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สุข และเพื่อความเจริญผาสุกของประเทศชาติและประชาชน
2.ทำหน้าที่เลือกสรรผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
3.ควบคุมตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินโดยฝ่ายบริหาร
4.พิจารณาจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อการพัฒนาประเทศ
5.หยิบยกปัญหาความเดือดร้อน และข้อต้องการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนนำเสนอรัฐบาลเพื่อพิจารณาจัดทำนโยบายสาธารณะเพื่อส่วนรวม
การประชุมรัฐสภาชุดที่ 25 นัดแรกบ่งบอกได้ชัดเจนว่า สส. ของไทยเห็นแก่ผลประโยชน์สาธารณะมากน้อยเพียงใด ซึ่งเท่าที่สาธารณชนได้ประจักษ์จากพฤติกรรมของ สส. ในที่ประชุมแล้ว พบว่าเพียงวันแรกของการประชุมก็เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนกับเรื่องไม่เป็นเรื่องคือ การเลื่อนหรือไม่เลื่อนวาระการประชุมเพื่อเลือกประธานรัฐสภา
คอการเมืองไทยทราบดีว่ามูลเหตุประการสำคัญที่ทำให้มีการขอเลื่อนประชุมรัฐสภานัดแรกก็คือเรื่องความไม่ลงตัวของการเสนอชื่อผู้ลงชิงตำแหน่งประธานรัฐสภา และความไม่ลงตัวในเรื่องการแบ่งปันตำแหน่งรัฐมนตรีของกระทรวงหลัก เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง เป็นต้น แต่น่าสนใจว่าเหตุใดจึงไม่มีการต่อรองขอเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังมีพฤติกรรมสามานย์ให้เห็นอีกประการหนึ่งคือ สส.บางรายลงมติส่วนตัวไปแล้วในช่วงแรกว่าไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนการประชุมเลือกประธานรัฐสภา แต่ต่อมากลับขอแก้มติเป็นเห็นด้วย ซึ่งทำให้สาธารณชนเห็นชัดว่าแค่เพียงเรื่องที่ไม่ต้องใช้สติปัญญาสำหรับการตัดสินใจ ก็ยังมี สส.หลายรายที่ยังเกิดอาการไม่คงเส้นคงวา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ แล้วถ้าเป็นเรื่องที่สลักสำคัญมากกว่านี้ สส.พรรค์อย่างนี้จะมีสติปัญญาพิจารณาหรือ
ในที่สุดที่ประชุมก็มีมติให้ประชุมพิจารณาเลือกประธานรัฐสภาต่อไปด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วยกับการประชุมต่อ 248 ราย ไม่เห็นด้วย 246 ราย งดออกเสียง
2 ราย ข้อน่าสังเกตผสมกับข้อน่าสงสัยคือ สส. ที่ขอเปลี่ยนมติที่ตนเองได้โหวตไปแล้วนั้นคือ สส. จำพวกที่เคยผ่านสภามาแล้วหลายสมัย และเป็น สส. ของพรรคพลังประชารัฐจากสายของนักการเมืองที่ถือได้ว่ามีพรรษาการเมืองแก่กล้า ซึ่งทำให้สาธารณชนวิพากษ์ว่าแล้วที่โหวตไปในตอนแรกนั้นใช้สติปัญญาหรือไม่ หรือว่า
มาเปลี่ยนใจในภายหลังเพราะมีสิ่งใดดลใจกระนั้นหรือ
ขอย้ำอีกทีว่านี้แค่เพียงปฐมบทของการเมืองแบบรัฐสภา หลังจากมีการเลือกตั้ง สส.ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 เมื่อนัดแรกของการประชุม
ยังเกิดความโกลาหลได้ถึงเพียงนี้ แล้วในการประชุมนัดต่อๆ ไปจะหาความสงบเรียบร้อยได้อย่างไรกัน เพราะในเมื่อ สส. แต่ละคนนั้นดูเสมือนว่ามิได้ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์สาธารณะแม้แต่น้อย
หากจะถาม สส.หรือที่เรียกรวมๆ ว่านักการเมืองไทยว่า เคยรู้ตัวบ้างหรือไม่ว่าสาธารณชนเขารังเกียจและอิดหนาระอาใจกับพฤติกรรมสามานย์ต่างๆ นานา ของนักการเมือง คำตอบที่หลายคนเชื่อตรงกันก็คือ นักการเมืองรู้ดี แต่ก็ยังจะทำพฤติกรรมน่ารังเกียจเช่นนั้นต่อไป เพราะถ้าหากนักการเมืองไทยมีพฤติกรรมที่เห็นแก่สังคมส่วนรวมแล้ว ก็คงจะไม่ใช่นักการเมืองไทย และเพราะความเป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวมนี่เองจึงทำให้นักการเมืองไทยกลายเป็นคนน่ารังเกียจไปโดยปริยาย
พูดถึงนักการเมืองไทยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ แต่เมื่อพิจารณาพฤติกรรมโดยรวมแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างกันเลย เพราะทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ก็มีความสามานย์ไม่แตกต่างกัน
อันที่จริงในการเลือกตั้ง สส.ครั้งล่าสุดนี้ ในรัฐสภาแห่งนี้ก็มีนักการเมืองหน้าใหม่เข้าไปร่วมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมิใช่น้อย แต่ทว่าสังคมกลับมิได้เห็นว่านักการเมืองหน้าใหม่จะแสดงความเห็นหรือการกระทำอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะแต่ประการใด แต่เท่าที่เห็นก็คือ สส.บางคนใช้เวทีการเมืองแห่งนี้เป็นที่แสดงพื้นที่ส่วนตัวเสียมากกว่า เช่น พวกข้ามเพศที่อาศัยเวทีนี้เป็นที่แสดงความข้ามเพศของตนให้ปรากฏต่อสาธารณะได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แต่ก็ไม่เห็นว่าพวกที่อ้างว่าตนเองมีความเสรีมากมายเช่นนี้จะมีการกระทำใดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ อาจจะมีบางคนบอกว่านี้คือความก้าวหน้าของสังคมไทยที่มีคนข้ามเพศเข้าไปเป็น สส. แต่ก็ต้องถามกลับว่า แล้วการมี สส.ข้ามเพศในสภาทำให้การเมืองไทยพัฒนาขึ้นจริงหรือ
ขอย้ำว่าการพูดเรื่อง สส.ข้ามเพศในสภา มิได้มีเจตนาดูหมิ่นหรือกีดกันคนกลุ่มนี้แต่อย่างใด แต่ประเด็นคำถามคือ เมื่อมีแล้วสังคมไทยมีพัฒนาการทางการเมืองจริงหรือ แล้วถ้าหากไม่มี สส.ข้ามเพศในรัฐสภา กลุ่มคนข้ามเพศในสังคมไทยไม่มีเวทีแสดงออกเลย กระนั้นหรือ ซึ่งก็ไม่เป็นความจริง เพราะเราทุกคนก็เห็นกันอยู่ตำตาแล้วว่า บ้านเมืองของเราไม่ได้กีดกันคนข้ามเพศในการอยู่ร่วมในสังคมมานานแสนนานแล้ว แถมเรายังนิยมชมชอบพวกข้ามเพศอย่างออกนอกหน้านอกตาเสียด้วยซ้ำไป หากไม่เชื่อ ลองดูคนดังหลายต่อหลายคนที่เป็นพวกข้ามเพศก็ได้
นี่แค่เพียงการเปิดสภานัดแรกของเมืองไทย คนไทยก็ได้พบเห็นอีกแล้วว่า สส.จำนวนไม่น้อยต่างแสดงความไร้ยางอายออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แล้วคนไทยก็เชื่อด้วยว่ายิ่งมีการประชุมสภานัดต่อๆ ไป ก็จะได้พบความไร้ยางอายของ สส. ปรากฏออกมาเรื่อยๆ
สส. จะสำเหนียกบ้างหรือไม่หนอว่าเพราะความไร้ยางอายของพวกนี้แหละ จึงทำให้คนไทยไม่ปฏิเสธการทำรัฐประหาร ถึงแม้คนไทยจะรู้ดีว่าการรัฐประหารเป็นสิ่งเลวร้าย แต่เมื่อไม่มีอะไรกำจัดความไร้ยางอายของ สส.ได้ คนไทยก็จำเป็นต้องฝืนใจยอมรับการรัฐประหาร เพราะรู้ดีว่า สส.ไร้ยางอายไม่เคยเกรงกลัวอำนาจของประชาชน
เราคงจำเป็นจะต้องปล่อยให้ สส.แสดงความไร้ยางอายออกมาอีกสักระยะหนึ่ง เพราะความไร้ยางอายของ สส.เป็นสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในกมลสันดานของพวกเขาเสียแล้ว ไม่ว่าสาธารณชนจะเรียกร้องให้ สส.ลดพฤติกรรมไร้ยางอายด้วยกรรมวิธีใดก็ตามก็คงยากที่จะทำให้ สส.มียางอายเพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความนี้อยู่ ผู้เขียนก็ยังคงติดตามการประชุมรัฐสภานัดแรกไปพร้อมๆ กัน แต่ก็ยังไม่มีบทสรุปใดๆ สำหรับการประชุมนัดแรกนี้
ขอย้ำว่านี่แค่เพียงการประชุมรัฐสภานัดแรกเท่านั้น สาธารณชนยังเห็นความไร้ยางอายของ สส.ได้มากถึงเพียงนี้ แล้วการประชุมนัดต่อๆไปเล่า ประชาชนจะได้พบความไร้ยางอายของ สส.อีกมากมายสักเพียงใด
ผู้เขียนขอบอกตรงๆ ว่า ที่ต้องเขียนย้ำๆ ซ้ำๆ กับเรื่องความไร้ยางอายของ สส.ก็เพราะว่าผู้เขียนสังเกตเห็นความไร้ยางอายของ สส.หลายประการ แล้วก็เชื่อว่าต่อให้เขียนไปอีกมากมายหรือยาวนานเพียงใดก็ตาม ความไร้ยางอายของ สส.ก็ไม่น่าจะลดลง
ขอถามทิ้งท้ายว่า สส.เคยรู้บ้างไหมว่า เพราะความไร้ยางอายของพวกเขานี่แหละคือมูลเหตุทำให้บ้านเมืองเกิดความโกลาหลมาโดยตลอด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี