บ้านเมืองจะไปต่อยังไง ในห้วงเวลาที่รัฐบาลใหม่ยังไม่เกิด รัฐบาลปัจจุบันที่มีอำนาจเต็มก็ไม่มีสมาธิจะทำงานแล้ว ปล่อยรัฐมนตรีลาออกไปเป็น สว. เป็นทิวแถว สะท้อนความไม่ตั้งใจที่จะทำหน้าที่ในปัจจุบันแล้ว
แล้ว “รัฐบาลใหม่” จะเกิดได้ในเร็ววันนี้หรือ?
เกิดแล้ว จะมีเสถียรภาพมั่นคงนานแค่ไหน?
ก่อนจะตอบสองคำถามนี้ ไปดูข้อเขียนของ “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” กันก่อน เธอเขียนเรื่อง “10 เรื่องที่เห็นในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก” โดยสมจิตต์เขียนไว้ว่า...
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภา มีภาพหลายอย่างที่น่าสนใจคือ
1) สส.ใหม่บางคนยังปฏิบัติหน้าที่ไม่สมกับการเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย เช่น กรณีเสนอเลื่อนญัตติเลือกประธานสภา เพราะตัวเองไม่พร้อม เนื่องจากยังไม่ศึกษาวาระการประชุม
2) ความไม่รู้จักกาลเทศะ ของ สส.อนาคตใหม่ ที่ชูสัญลักษณ์สามนิ้วในสภา
3) การกระทำไม่เหมาะสมของสส.ขั้วเพื่อไทย ในการปรบมือให้กับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ขัดข้อบังคับการประชุม
4) การเสนอเลื่อนญัตติอย่างไร้เหตุผลของฝ่ายพลังประชารัฐ เพราะความไม่พร้อมของตัวเอง จนนำไปสู่ความวุ่นวายในสภา อันเป็นภาพที่เราเคยคุ้นชินในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีการใช้สภาเพื่อตอบสนองความต้องการของฝ่ายบริหาร โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ข้อบังคับ หรือแม้แต่รัฐธรรมนูญ หากไม่มีอภิสิทธิ์ ทักท้วงว่าการขอแก้มติของ 5 สส.พลังประชารัฐ ไม่ชอบด้วยข้อบังคับ และไม่สามารถใช้เสียงข้างมากมาเปลี่ยนผิดเป็นถูกได้ ก็คงมีการใช้สภาสร้างบรรทัดฐานอัปยศให้เสียงข้างมากมาตัดสินอะไรก็ได้ แม้สิ่งนั้นจะไม่ชอบด้วยข้อบังคับ และรัฐธรรมนูญ
5) ได้เห็นว่าความเปราะบางของรัฐบาลพลังประชารัฐ ไม่ได้เกิดจากพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นปัญหาภายในที่คุมเสียงกันเองไม่อยู่ ทำให้พ่ายแพ้ในการเสนอเลื่อนญัตติ แม้บรรดา 5 สส.ของพลังประชารัฐ อ้างว่าตัวเองตั้งใจโหวตเพื่อวัดคะแนนเสียงกับอีกขั้วการเมืองหนึ่ง ก็ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เนื่องจากหากคิดเช่นนั้นจริงคงไม่ขอแก้มติในภายหลัง
6) สส.ที่ร่วมรัฐบาลหากรวมกลุ่มได้ 5 คนขึ้นไป ก็มีสิทธิล้มรัฐบาลได้แล้ว ทำให้สส.อาจกลายเป็นสินค้าที่มีราคา มากกว่าการทำงานที่มีคุณค่า
7) บางคนผิดหวังกับท่าทีของประชาธิปัตย์ ที่ไปสนับสนุนการเลื่อนญัตติ อยู่ในเกมไม่ชอบธรรมที่พลังประชารัฐกำหนด ซึ่งส่วนตัวแม้ไม่เห็นด้วย แต่เข้าใจว่าจังหวะก้าวของปชป.ที่วางให้คุณชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาได้สำเร็จนั้น จะเป็นคุณูปการต่อบ้านเมือง ในการรักษากลไกสภาให้ทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายบริหารได้อย่างแท้จริง แทนที่จะกลายเป็นสภาอัปยศเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย พลังประชาชนและเพื่อไทย อีกทั้งหากไม่เห็นด้วยให้เลื่อนญัตติออกไปตามที่พลังประชารัฐเสนอ ก็มีความเสี่ยงที่ประธานสภาจะชื่อ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ตามที่เพื่อไทยเสนอ เพราะพลังประชารัฐไม่มั่นใจในการคุมเสียงพรรคตัวเอง
8) การเดินเกมของพลังประชารัฐในการเลื่อนญัตติเลือกประธานสภาแบบไร้เหตุผล เลื่อนประชุมเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองให้กับตัวเอง เป็นเพียงภาพเริ่มต้นที่สะท้อนถึงพฤติกรรม วิธีคิดของพลังประชารัฐ ที่พร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อความได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งเราจะได้เห็นตลอดสมัยประชุมสภานี้
9) ถ้าประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาล ก็จะต้องเดินตามเกมในสภาที่พลังประชารัฐกำหนด เหมือนที่ต้องโหวตเห็นด้วยกับการเลื่อนญัตติเลือกประธานสภา ตัวตนของประชาธิปัตย์ที่เคยเป็นผู้รักษาระบบ กฎหมาย จะถูกกลืนหายไป กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเสียงข้างมากที่พร้อมทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรมในสภาได้ ดังที่ปรากฏให้เห็นแล้ว
10) หากพลังประชารัฐไม่เปลี่ยนวิธีทำงานในสภา สุดท้ายจะสะสมความไม่ชอบธรรม จนทำให้เกิดการต่อต้านที่รุนแรงขึ้น เพราะพฤติกรรมไม่ต่างจากที่ฝ่ายทักษิณเคยทำ เพียงแต่วันนี้อารมณ์แห่งการเลือกข้างบดบังจนทำให้คนจำนวนมากพร้อมหลับตา ทำเป็นมองไม่เห็นความไม่
ถูกต้องนั้น หรือแม้ว่าจะเห็นก็คิดว่ายังดีกว่าให้ฝ่ายทักษิณได้อำนาจ โดยลืมคิดไปว่า ไม่ว่าใครทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ไม่อาจยอมรับได้ เพราะสุดท้ายแล้วความขัดแย้งจะเพิ่มขึ้น ปัญหาการเมืองซับซ้อนมากขึ้น ประเทศชาติจะได้รับผลกระทบในระยะยาว
ผมขอคิดต่อจากสมจิตต์ก็แล้วกันว่า
1.การต่อสู้กันทางการเมืองนั้น ไม่ได้เกิดเฉพาะในชีวิตประจำวัน ในสื่อออนไลน์ แต่ได้ขยายพื้นที่ไปสู้กันอย่างหนักหน่วงในสภา สู้กันโดยไม่สนใจกาลเทศะ ยิ่งห้องประชุมสภาไม่ได้พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก การควบคุมสภาให้เรียบร้อย เรียกศรัทธาจากผู้คนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และคนที่เดินเข้าสภารอบนี้ ไม่อยู่ในวัฒนธรรมการประชุมสภามาก่อน มาพร้อม “ตัวตน” ที่อยาก “โชว์” ด้วย สภารอบนี้จึงจะเละเทะและไม่ส่งเสริมให้คนมีศรัทธากับระบบรัฐสภาได้มากกว่าเดิม ประธานสภา คือ นายชวน หลีกภัย จะต้องทำงานหนักเป็นอย่างยิ่ง
2.พรรคพลังประชารัฐต้อง “กำหนดท่าที” ของตนให้ชัดเจน ที่จะเป็น “แกนนำที่สง่างาม” แม้จะเป็นพรรค “รวมกันเฉพาะกิจ” แต่ต้องควบคุมได้ มีวินัย และเข้าใจ “การเมืองในกติกาใหม่” ที่พรรคใหญ่ต้องง้อพรรคเล็ก ดังนั้นคีย์แมนต้องแม่นในเรื่องนี้ว่า เราต้องจัดตั้งรัฐบาลที่ทำให้คนศรัทธา ไม่ใช่แค่ตั้งรัฐบาลให้มุ้งทั้งหลายภายในพรรคพอใจ ดังนั้นการแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรี ต้องอธิบายได้ด้วย “ความสามารถ” ของคนนั้นๆ ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่ให้รางวัลมุ้งนี้ พรรคนั้น จัดแจงกันตามใจชอบ สุดท้ายหน้าตาออกมาขี้ริ้วจนคนสิ้นศรัทธา ไม่มาเป็น “เกราะคุ้มกัน” ให้อีก
3.แต่ปัญหาของพรรคพลังประชารัฐคือ ไปรวมเอานักการเมืองเขี้ยวลากดินมาปูทาง บนกติกาที่เขียนปูทาง คสช.กันมาแล้ว และสว.ที่ไปปูเสื่อรออยู่ก่อนแล้ว นักการเมืองเขี้ยวลากดินพวกนี้รู้ ว่าบัดนี้อำนาจการต่อรองของพวกมันมากกว่าอำนาจของ คสช. ที่ไม่มีใครมาเป็น สส. ในสภาด้วย การโหวตในสภาจึงเปรียบประดุจดั่งปืนกับรถถังของ สส.พวกนั้น ที่จะต่อรองกับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งหากไม่มีใครยกมือให้ ก็เป็นได้แค่ “นายกฯในบัญชี” ไม่มีเก้าอี้นายกฯ จริงๆ รองก้น
4.บวกกับไม่มีแกนนำตัวจริงที่ “ทรงอำนาจ” จาก คสช. เข้ามาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ มีแค่บริวารของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่ง สส.ร้อยมุ้งพวกนี้มิได้ “ยำเกรง” เป็นละอ่อนทางการเมืองที่ต่อรองหน่อยเดียวก็ตัวสั่นงันงก วิ่งไปหา “ผู้มีอำนาจตัวจริง” ที่โผล่ออกมาไม่ได้ เดี๋ยวผิดกฎหมาย ถึงขั้นยุบพรรค การเจรจาจึง “จบยาก” และเหมือนจะจบแต่ไม่จบแทบทุกเรื่อง
5.ประชาธิปัตย์เองก็ “เล่นยาก” ต้องยอมทิ้งสัจจะมาเล่นกับสถานการณ์เพื่อ “ประเทศชาติ” ซึ่งหลายคนในพรรคไม่อาจทำได้ โอกาสที่จะมีคนลาออกจากพรรคเพราะพรรคตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลสูงมาก ความแตกแยกแบ่งก๊กกันในพรรคก็เป็นอีกวิกฤติหนึ่ง การเข้าร่วมรัฐบาลของ ปชป. นับว่า “กินต้นทุน” แทบหมดหน้าตัก ดังนั้น ปชป. ต้อง “แลก” ด้วยสิ่งคุ้มค่า เช่น เก้าอี้กระทรวงสำคัญเพื่อบอกกับประชาชนว่า มาจริง เพื่อทำจริง ไม่ใช่แค่ร่วมรัฐบาลเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่อยากทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน จึงต้องการเก้าอี้ที่จะพิสูจน์ตัวได้ในระยะอันสั้น เพราะมิอาจคาดการณ์ ได้เลยว่า รัฐบาลนี้จะมีอายุกี่เดือน และต้องแลกด้วยเงื่อนไขที่จะทำให้ “ผู้เลือก” รู้สึกว่า การที่เอ็งเสียสัจจะนั้นคุ้ม ข้าให้อภัย จึงมีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาว่า ปชป. เสนอเงื่อนไขต้อง “แก้รัฐธรรมนูญ” บางมาตรา ซึ่งมาพร้อมกับข่าวว่า บิ๊ก ป. แห่งคสช. ไม่ชอบใจ
6.ประชาธิปัตย์ไม่อาจ “เกิดอีกได้” ในระยะอันสั้นนี้ ที่ยังมี พปชร. แย่งฐานเสียงไป และเล็มได้อีกส่วนหนึ่งโดย ภูมิใจไทย เว้นเสียแต่พรรคเฉพาะกิจอย่าง พปชร. แตกกันด้วยผลประโยชน์ไม่ลงตัว และปชป. บางขั้วย้ายไปรวมกับ พปชร. ที่ “ทุนหนากว่า” เล่นเกมแบงก์ใหญ่แบงก์ย่อย เป็นแนวร่วมกลายๆ หยุดทำลายประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งอย่างครั้งที่ผ่านมาเสีย ก็พอไปได้ เว้นแต่ “เศรษฐกิจทรุดฮวบ” เป็นแผลใหญ่ ไร้หวัง แล้ว ปชป. รวมพลังชูทีมเศรษฐกิจขึ้นมาให้เป็นความหวังได้ ก็พอ “มีพื้นที่” ให้ ปชป. เล่นเป็น “พระเอก” บ้าง เพราะหากยังเล่นเกมว่า จะเอาทักษิณหรือจะเอาเจ้า ไม่เอาทักษิณกันก็อยู่แบบนี้ ประชาธิปัตย์ไม่มีทางที่จะ “สุดโต่ง” ไปด้วยได้ มีตื้นที่แห่งความแพ้พ่ายในสงครามความขัดแย้ง
7.อนาคตใหม่-เกิดเพื่อจะตาย แล้วเกิดใหม่อย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม เชื่อว่าบัดนี้ กุนซือของหัวหน้าพรรค “ส้มหวาน” คงรอให้วิกฤติต่างๆ ถาโถมประเดประดังเข้าใส่ธนาธรให้มาก เขาไม่ได้กลัว หากธนาธรจะถูกตัดสิทธิ์การเป็น สส. เพราะโอนหุ้นไม่ทัน หรือจะมีความผิดที่ปล่อยกู้ให้พรรคจนพรรคอาจต้องถูกยุบไปด้วย ยิ่งวิกฤติเท่าไหร่ ยิ่งเข้าทางเท่านั้น ระหว่างนั้น สส.ก็ย้ายไปสังกัดพรรคอื่นพลางๆ บ้างก็คงถูกต้อนเข้าค่าย “พลังประชารัฐ” ได้ แต่ธนาธรจะไม่แคร์ เพราะเขาแพ้รอบนี้ ยิ่งแพ้ยิ่งดี เพื่อจะชนะในรอบหน้า
8.รอบหน้า พลังประชารัฐไม่น่าจะได้มากกว่าที่ได้รอบนี้ ประชาธิปัตย์อาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หากพรรคมีเอกภาพมากขึ้น เพื่อไทยไม่มีทางเพิ่มขึ้นแล้ว แต่อนาคตใหม่จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เพราะธนาธรยังไม่หยุด “เล่นกับสื่อ” ซึ่งสอดรับกับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่หมกตัวอยู่กับ “โลกในโทรศัพท์” ขาดความเชื่อมต่อกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย และความรู้รอบตัวอื่นๆ ยิ่งเจอผู้ใหญ่ฉุนเฉียวใส่ที่ชอบธนาธร ชอบอนาคตใหม่ ยิ่งเป็นแรงผลักไสให้เด็กเหล่านี้ ทุ่มเททุกอย่างให้แก่ธนาธร เพื่อเป็นพลังในการ “เปลี่ยนแปลง” ธนาธรเล่นการเมืองนอกสภาได้เต็มที่กว่า และเข้ากับนิสัย “ไม่มีกรอบ” ของเขา ในสภาก็ให้ปิยบุตร แสงกนกกุล กับช่อ-พรรณิการ์ วานิช และลูกหาบ “เล่น” กันไปให้เต็มที่ พร้อมจะเป็น “มวลหมู่ไอดอล” ของคนรุ่นใหม่ หรือรุ่นเก่าที่อยากจะ “เปลี่ยน”
สิ่งที่เห็นได้ชัดในวันนี้ก็คือ กติกาที่เขียนขึ้นมาเป็น “ดาบสองคม” จัดการกับพรรคเพื่อไทยได้ แต่ให้กำเนิดพรรคอนาคตใหม่แบบเต็มๆ จนขณะนี้ “ผู้มีอำนาจ” กุมขมับ และขยับเป้าหมายมาที่อนาคตใหม่กันต่อ
ในความเป็นขั้วข้างและสงครามชิงมวลชนกันแบบนี้ ไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศและความผาสุกของประชาชน
แต่ก็นั่นแหละ ประชาชนก็เมามันไปกับเขาด้วย นึกไม่ออกว่า “จุดเปลี่ยน” อยู่ที่ตรงไหน นอกจากสงครามขั้วข้างจะดำเนินไป จนเหลือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเท่านั้นที่ชนะ
นี่ล่ะ การเมืองไทยที่ต้องมองกันให้ลึกๆ และยาวๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี