หลังจากนี้อาจจะเกิดดีลใหม่ ที่อาจไม่เคยพบมาก่อนในการเมืองไทย ถึงแม้ตอนนี้บทสรุปจะยังไม่ลงตัว แต่ก็มีแนวโน้มสูง ที่จะเกิดวิถีทางการเมืองแบบใหม่ โดยเป็นการรวมตัวกันแบบหลวมๆ ของพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ที่วางจุดยืนไว้เป็นอิสระทางการเมือง และแม้ไม่ถึงขั้นจะเป็นขั้วที่สาม โดยน่าจะอยู่ฝั่งรัฐบาลมากกว่า แต่ก็มีพลังในการตัดสินใจ ที่ดูมีอิสระมากกว่ารัฐบาลร่วม แม้จะถือว่าน่าจะอยู่ฝั่งรัฐบาลก็ตาม หรืออาจขอสมมุติเรียกในบทความนี้ว่า สิ่งนี้อาจเป็นแนวคิดของ “รัฐบาลอิสระ” ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากคำว่า “ฝ่ายค้านอิสระ”
จากกระแสข่าวล่าสุดจากเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ในวันนี้ช่างทำให้อะไรดูเปลี่ยนไปหมด นั่นคือการพลิกเกมของพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจนับรวมเป็นเกมร่วมของภูมิใจไทย ในการส่งแคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรมาได้ ซึ่งถือว่าเหนือความคาดการณ์ และอีกเหตุการณ์หนึ่งที่พลิกกลับด้านมาอีกทางก็คือ การที่พรรคพลังประชารัฐประกาศว่ายังสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยไม่ต้องอาศัยเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ ดูเหมือนจะมีความขัดแย้งกัน? คือดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้กับการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ทั้งสองในพรรคร่วมฝ่ายเดียวกัน เพราะน่าจะมีการตกลงกันแล้ว? ซึ่งดูแล้วเหมือนจะเป็นการแลกคนละหมัดของพวกเดียวกันเองมากกว่า? ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายก็มองว่าพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเล็กทั้งหมด จะรวมกับพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย? แต่ด้วยท่าทีล่าสุดของทั้งสองฝ่ายร่วมทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองทั้งหมด และไม่ได้สะเทือนเฉพาะการเมืองภายในฝั่งรัฐบาล แต่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองรวมในเวทีปัจจุบันด้วย และอย่างที่บอกไว้ในบทความก่อนหน้าว่าจุดอ่อนของพรรคพลังประชารัฐคือสถานะของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคงได้เห็นแววบ้างแล้วในอาทิตย์นี้ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นทั้งสองเหตุการณ์ล้วนมีที่มา แต่ที่ไปยังคาดเดาไม่ได้
การที่นายชวนได้ขึ้นเป็นประธานสภาฯ น่าจะสะท้อนให้หลายคนเห็นความพยายามของคนที่คุมอำนาจเหนือพรรคพลังประชารัฐ? ที่ต้องการจะรวบรวม
ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ไว้กับตัวเอง โดยไม่ยอมเสียอะไรเลยหรือไม่? ทั้งที่การเจรจาระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยน่าจะมีการแบ่งสันเก้าอี้ต่างๆ กันลงตัวแล้ว? แต่สุดท้ายก็มีข่าวการกลับลำของผู้มีอำนาจเหนือพรรคพลังประชารัฐที่ไม่รู้จริงหรือไม่? จนทำให้ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยต้องจับมือกันยื่นคำขาดทวงเก้าอี้ประธานสภาฯ กลับมา? ผนวกกับสถานการณ์ที่ไม่เอื้อให้พรรคพลังประชารัฐมีทางเลือกอื่น เพราะในวันที่ชิงประธานสภาฯ ก็ถูกแรงบีบอย่างหนักจากฝั่งพรรคอนาคตใหม่ อันประกอบด้วยอนาคตใหม่และเพื่อไทยที่ดูพักหลังสถานะและบทบาทของอนาคตใหม่จะดูโดดเด่นเหนือเพื่อไทยไปหลายก้าว
อย่างไรก็ตาม แรงบีบจากหลายด้านในวันนั้นทำให้ทางเลือกเหลืออยู่เพียงทางเดียวคือต้องจำยอมกับพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลอิสระของประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย
สิ่งที่หลายคนมองเกมและตั้งคำถามในวันนั้นคือ พรรคพลังประชารัฐต้องเป็นลูกไล่ในเกมต่อรอง และกลายเป็นรัฐบาลอิสระเองที่จะคุมเกมชี้ขาดสถานะของรัฐบาลหรือไม่? ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักยิ่งกว่าการตัดสินใจของนายกฯ เสียอีก? ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนคุมเกมพรรคพลังประชารัฐเองไม่ได้มีแค่คนในพรรคพลังประชารัฐหรือไม่? จึงทำให้การตัดสินใจใดๆ ต้องตรวจสอบไปมาและเปลี่ยนท่าทีหลายครั้งจนทำให้เสียท่ากับพรรคเก๋าเกมในสภา เพราะเมื่อดูจากเกมการเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ทั้งสองที่เพ่ิงผ่านไป แม้ซีกรัฐบาลจะเอาชนะฝ่ายค้านได้ก็ตาม แต่ก็มีความหวุดหวิดตลอดเส้นทาง หากไม่ได้เสียงจากฝ่ายรัฐบาลอิสระ และสส.งูเห่าบางส่วนมาหนุนก็คงเสียเก้าอี้ประธานสภาฯ ให้พรรคคู่แข่งไปแล้ว สะท้อนให้เห็นจุดอ่อนอย่างที่เคยกล่าวมาแล้วในตอนก่อนว่า หากขั้วพรรคเพื่อไทยสามารถเจาะประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยได้ ก็อาจจะสามารถเปลี่ยนเกมทางการเมืองได้
แต่ไม่คิดว่าจุดอ่อนนี้จะได้ใช้งานตั้งแต่วันแรก โดยอาจมีพรรคอนาคตใหม่เป็นเล่นบทนำและเพื่อไทยคอยหนุน? ซึ่งในรอยแผลปัญหาที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนจะนำมาซึ่งการกลับไปประชุมเครียดระหว่างพรรคพลังประชารัฐและผู้มีอำนาจเหนือพรรค? และอาจส่งผลให้เกิดการเดินเกมใหม่ตามมา นั่นก็คือการลดการต่อรองในการตั้ง ครม. ของพรรคร่วมหรือฝั่งรัฐบาลอิสระอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ด้วยการเปลี่ยนเงื่อนไขเจรจาใหม่ซึ่งไม่รู้จริงหรือไม่ ตามที่เป็นข่าว ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องตัดสินใจเลื่อนประชุม ขณะเดียวกันก็มีการออกมาสวนโดยนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ ในเชิงขู่? ในทำนองว่าหากประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วม ก็สามารถเลือกนายกฯได้ ภายใต้เสียง สส.ที่มีอยู่บวก สว. แต่ก็ไม่ได้ปิดดีลเจรจา เพียงแต่เปลี่ยนเงื่อนไขและพยายามลดบทบาทการต่อรอง โดยออกมาระบุว่ามีโอกาสจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยและอาจจะใช้อำนาจของนายกฯ ยุบสภา อย่างไรก็ตามนายอนุทินก็ได้ออกโรงมาเตือนเชิงตอบโต้ว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วมรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยก็จะ
ไม่เข้าร่วมเช่นกัน
ด้านท่าทีของนายณัฏฐพลที่ออกมายืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐจะเดินหน้าตั้งรัฐบาลแม้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เข้าร่วม ก็เป็นเรื่องที่หลายคนมองว่า ผู้มีอำนาจเหนือพรรคพลังประชารัฐก็คงไม่ยอมเล่นในเกมที่ตัวเองโดยต้อนจนมุมเป็นแน่? อย่างไรก็ตาม คำถามที่ว่ารอยร้าวที่เกิดขึ้นนี้จะแตกหักจนกลายเป็นการยุบสภาเลยหรือไม่? ก็คงไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะน่าจะเป็นการต่อรองและการสู้กันในเกมใหม่มากกว่า แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ยังตอบอะไรไม่ได้ เพราะหลายคนเชื่อว่า คสช. ก็เดิมพันไว้สูงกับการเลือกตั้งครั้งนี้? จะล้มกระดานและต้องมาเริ่มเลือกตั้งกันใหม่ก็คงมีความเสี่ยงอยู่มาก? และก็คงไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้โดยง่าย? คำพูดแกมขู่ของนายณัฏฐพลถึงจะมีน้ำหนักแค่เพียงส่วนหนึ่ง แต่ก็เป็นจุดยืนใหม่ที่แข็งกร้าวและน่าสนใจ หลายฝ่ายก็ยังเชื่อว่า พรรคพลังประชารัฐน่าจะต้องโอนอ่อนในข้อต่อรองกับพรรคร่วมอยู่ดี? หรือไม่ก็อาจเกิดอะไรขึ้นใหม่ในพรรคต่างๆ ที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐมั่นใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากมองในระยะยาว ความเข้มแข็งของรัฐบาลคงเป็นเรื่องน่ากังวลที่สุดสำหรับพรรคพลังประชารัฐ เพราะหลายคนเชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้เกิดจากการตระเตรียมโดย คสช. มาเป็นเวลานานและนับว่าเป็นการลงทุนลงแรงไปอย่างมหาศาล คงไม่น่าจะยอมล้มกระดานด้วยตัวเอง และคงไม่คิดจะยอมให้พรรคร่วมเรียกร้องได้ตามใจ อย่างท่าทีที่แสดงออกมาอย่างแข็งกร้าวของนายณัฏฐพล ที่ยื่นยาแรงว่าจะเลือกนายกฯ โดยไม่สนใจเสียงสส.ในสภา และอาจใช้อำนาจนายกฯ ในการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่นั้น ซึ่งในท้ายที่สุดคนที่บอบช้ำคงไม่ใช่นายกฯ คนเดิมหรือคนใหม่ หากแต่เป็นพรรคการเมืองทุกพรรค เพราะฉะนั้นแล้วถึงพรรคพลังประชารัฐจะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่จะสามารถอยู่ได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะหากเกิดการยุบสภาขึ้น ก็จะเป็นฝั่งพรรคพลังประชารัฐที่ต้องรับแรงกดดันไปเต็มๆ เพราะถือเป็นพรรคที่สนับสนุนและเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกฯ และถ้าพล.อ. ประยุทธ์ ไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้ ก็น่าจะส่งผลต่อความนิยมในการเลือกตั้งครั้งหน้า ขณะที่พรรคร่วมน่าจะเจ็บตัวไม่น้อยโดยเฉพาะการเลือกตั้งแต่ละครั้งต้องใช้ทุนและงบประมาณจำนวนมาก ในขณะที่พรรคเกิดใหม่อย่างอนาคตใหม่ที่เล่นกับกระแสก็ไม่มีอะไรแน่นอนว่าจะกลับมาประคองคะแนนนิยมได้เท่าเดิม แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นย่อมเป็นโอกาสให้เกิดการคลี่คลายทางการเมือง แต่ประเทศจะบอบช้ำอีกสักกี่ครั้ง?
“...คนผู้หนึ่งหากคิดบงการผู้อื่น พึงเรียนรู้ถึงการสร้างความขัดแย้งระหว่างกันและกันของคน…”
โกวเล้ง จากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี