นับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ายึดอำนาจการปกครองเนื่องจากการเมืองของประเทศเกิดความวุ่นวายและรุนแรงขึ้นทุกทีในฐานะผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นเข้าห้ามทัพในฐานะคนกลางและเข้าบริหารประเทศ โดยประกาศว่าจะใช้เวลาไม่นานก็จะคืนอำนาจให้ประชาชน
แต่ผลสุดท้ายกรรมการกลายเป็นผู้เล่นเสียเอง ด้วยการร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผู้ร่างประกาศว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ “ปราบโกง” ผลปรากฏว่า ผู้ร่างติดกับดักของตัวเองจนต้องแก้กติกากันอย่างวุ่นวาย ส่วนผู้เล่นติดใจในอำนาจที่หอมหวนจึงกลายร่างเป็นผู้เล่นโดยเป็นนักการเมืองเต็มตัวด้วยการยอมให้ลูกสมุนสี่กุมารชักจูงด้วยความยินยอมพร้อมใจดำเนินการทางการเมืองภายใต้กติกาที่เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ ยินยอมให้พรรคการเมืองที่สนับสนุนให้ตนสวมหัวโขนเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งบรรดาผู้สนับสนุนประกอบด้วยนักการเมืองสีเทาที่ตนเคยรังเกียจกับพวกพ้องสีเขียวเข้าร่วมเมื่อเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งผลปรากฏว่า มีเสียงข้างมากไม่พอที่เอาชนะพรรคการเมืองตรงข้ามได้เด็ดขาดจึงต้องรวบรวมพรรคการเมืองขนาดกลางกับพรรคการเมืองขนาดจิ๋วจำนวนมากเข้าร่วม
สำหรับพรรคการเมืองขนาดกลางสองพรรค พรรคหนึ่งเป็นพรรคเก่าแก่ คือ พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคขนาดกลางอีกพรรคหนึ่ง คือ พรรคภูมิใจไทยสำหรับพรรคภูมิใจไทยนั้นไม่มีปัญหามากนักนอกจากปัญหาเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีที่พรรคต้องการ ส่วนเรื่องพรรคประชาธิปัตย์นั้นเนื่องจากอดีตหัวหน้าพรรคได้ประกาศว่าจะไม่เอาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเกิดปัญหางูเห่าขึ้นในพรรคประกอบกับผลเลือกตั้งถือว่าพ่ายแพ้ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากหัวหน้าพรรค ส่วนภายในพรรคมีความเห็นออกเป็นสองกลุ่มที่มีความเห็นว่าจะร่วมกับพรรคที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีกับพวกที่ไม่สนับสนุนแต่ในที่สุดเมื่อที่ปรึกษาพรรค นายชวน หลีกภัย ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงอนุมานว่าพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับพรรคภูมิใจไทยต่อรองกับพรรคของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อร่วมเป็นที่พอใจทุกฝ่าย จึงสรุปรวมความว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยและพรรคที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงไม่กี่คนรวมทั้งพรรคที่มีสมาชิกฯ พรรคละ 1 คน อีกสิบกว่าพรรคร่วมเป็นรัฐบาลที่นักการเมืองในอดีตเคยกล่าวเป็นอมตวาจาว่า “ร้อยพ่อพันธุ์แม่”
สรุปรวมความว่า รัฐบาลที่จะเกิดขึ้นหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ยอมให้ประเทศไทยทำการปกครองภายใต้กติกาที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยฟันปลอม” แล้วอนาคตทางการเมืองของประเทศจะเป็นอย่างไร ความวุ่นวายทางการเมืองจะเกิดขึ้นหรือไม่หรือจะดำเนินไปตามโรดแมปที่คณะรักษาความสงบได้วางไว้ยากที่จะประเมินได้ เพราะนับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ปกครองระบอบเผด็จการมาห้าปีเต็ม การปฏิรูปประเทศมิได้เกิดขึ้นอย่างที่ประชาชนปรารถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นรากฐานของสังคมยังไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ตรงข้ามกลับเกิดภาวะ “รวยกระจุกจนกระจาย” เพราะแทนที่รัฐบาลจะสร้างระบบสังคมประชาธิปไตยหรือนโยบายเฉลี่ยสุข กลับตรงข้ามคือแจกเงินให้คนยากจนซึ่งเป็นวิธีที่ตรงข้าม ผลที่สุดอนาคตของประเทศก็คงเป็นไปเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หรือถ้าโชคดีประชาชนโดยเฉพาะนักการเมืองจะพัฒนาตัวเองสู่สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงได้สำเร็จก็เป็นบุญของประชาชนชาวไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี