สงครามการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐอเมริกา กำลังเป็นที่สนใจ และถูกจับตามองจากทั่วโลก เพราะผลที่เกิดขึ้นย่อมจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก มิได้จำกัดอยู่ที่แค่ 2 ประเทศคู่กรณีเท่านั้น เนื่องด้วยทั้ง 2 ประเทศ ถือเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับที่หนึ่ง และที่สองของโลก ที่มีเครือข่ายค้าขายและผลประโยชน์ไปทั่วทั้งโลก สงครามการค้าครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นไปในแบบช้างชนช้าง บรรดาหญ้าแพรกก็พลอยแหลกสลายไปด้วย
หลายคนคงมีคำถามในใจว่า แล้วต้นเหตุของสงครามคืออะไร?
ประเด็นปัญหานั้นเริ่มจากข้อกล่าวหาจากฝ่ายสหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตก รวมทั้งพันธมิตรในเอเชีย-แปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่นต่อจีน ที่ว่า ที่ผ่านมานั้น จีนมุ่งทำมาค้าขายแบบข้ามาคนเดียว ไม่ยอมเล่นตามกติกาสากล ถือเป็นการเอาเปรียบชาวโลก ไม่ว่าจะเป็น การควบคุม และแทรกแซงค่าเงินหยวน เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อทำให้จีนสามารถขายสินค้าได้มากกว่า ด้วยราคาขายที่ต่ำกว่าชาวบ้านเขา อีกทั้งจีนยังตั้งกฎหมายกีดกันมิให้ต่างชาติสามารถเข้าไปลงทุนค้าขาย และแข่งขัน กับบริษัทสัญชาติจีนได้อย่างเสรี นอกจากนั้น บริษัทของจีนยังมีพฤติกรรมในการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงพฤติกรรมการจารกรรมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตกอีกด้วย
โดยรวมๆ แล้ว ปัญหาในสงครามการค้าครั้งนี้ คือการที่จีนทุ่มตลาด ซึ่งที่ผ่านๆ มา ฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรป ได้พยายามดำเนินการเรียกร้องทุกรูปแบบ เพื่อให้จีนหันมาเล่นตามกติกาสากล แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จีนก็มักทำเป็นเฉยๆ หรือไม่ก็อาจจะทำบ้างไม่ทำบ้าง เรียกว่าได้ใจเพราะไม่มีประเทศใดกล้าจัดการกับจีนอย่างจริงจัง
แต่ในวันนี้ สหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศอย่างแน่ชัดไว้ว่า จะต้องมิให้มีประเทศใดมาเอารัดเอาเปรียบสหรัฐอเมริกาได้อีก และได้ดำเนินการขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้าหลากชนิดจากทุกประเทศที่เอารัดเอาเปรียบสหรัฐฯ มานานปี โดยไม่สนใจว่า ประเทศนั้นจะเป็นพันธมิตรอยู่หรือไม่
หลังจากนั้น เม็กซิโก แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ 28 ประเทศสหภาพยุโรป ก็ตบเท้าเข้าแถวเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งก็ได้มีข้อยุติ และมีความก้าวหน้า มีผลเป็นชิ้นเป็นอันที่จับต้องได้
แต่กับจีนแล้วต่างออกไป เพราะเมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษี จีนตอบโต้กลับทันที ด้วยการขึ้นภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ กลับด้วย เป็นเสมือนการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ ที่เกทับกันไปมา แบบใครดีใครอยู่
เมื่อบลัฟกันไปมาสักพัก ก็กลับมามีกระบวนการเจรจาทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งแรกๆ ก็ทำท่าว่าจะไปกันด้วยดี แต่ผ่านไปไม่นาน ทั้งคู่ก็กลับมาเล่นโป๊กเกอร์ทางการค้ากันต่อ ทั่วโลกก็เลยตกอยู่ในความหวาดวิตก เศรษฐกิจโลก ทั้งตลาดหุ้น ตลาดเงินตรา ตลาดลงทุน และตลาดสินค้า ก็พลอยปั่นป่วนไปด้วย
แล้วสงครามครั้งนี้ ใครจะอยู่ ใครจะไป?
ด้านสหรัฐฯ นั้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ก็คือผู้บริโภค บรรดาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ผลิตในจีน และกลุ่มเกษตรกรสหรัฐฯ ที่ขายธัญพืชและอาหารให้จีน รวมทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง (ที่เอาเข้าจริงแล้ว จีนเองไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน นอกจากที่สหรัฐอเมริกา)
ทางผู้เสียหายฝั่งจีน ก็คือผู้บริโภคอาหารและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพราะต้นทุนสูงขึ้น และอุตสาหกรรมจีนที่ต้องพึ่งชิ้นส่วนและสินค้าเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ดี เรื่องขาดทุนกำไรในเรื่องซื้อขายสินค้านำเข้า ส่งออก เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ที่จะสะท้อนว่าใครได้ใครเสียมากกว่ากัน โดยจะต้องมองไปที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจ หรือสถานะเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ ร่วมด้วย
ณ วันนี้ ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เศรษฐกิจภายในสหรัฐฯ เติบโตอย่างมั่นคง ทั้งการขยายตัวของจีดีพี การจ้างงาน การขยายการลงทุนโรงงาน และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปจนถึงการฟื้นตัวของอสังหาริมทรัพย์
ในขณะเดียวกัน จีนมีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น มีการล้มเลิก ล้มละลายของบรรดาวิสาหกิจรัฐเป็นพันๆ ราย ตลาดหุ้นขาดทุน เศรษฐกิจโดยรวมเติบโตได้สูงสุดประมาณ 6.5% ซึ่งต่ำกว่าถัวเฉลี่ยหลายๆ สิบปีที่ผ่านมา อีกทั้งค่าแรงสูงขึ้น และความเหลื่อมล้ำในสังคมกว้างยิ่งๆ ขึ้น
นอกจากนั้น จีนยังต้องแบกภาระการลงทุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และกิจการอวกาศ เพื่อความมั่นคง และโครงการสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับจีนในต่างประเทศ ด้วยการให้ประเทศพัฒนาต่างๆ กู้ยืมเพื่อสาธารณูปโภคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ถนนหนทาง ทางรถไฟ ไปจนถึงสนามกีฬา อาคารสวยหรูของรัฐสภา และสถานที่ราชการต่างๆ ที่ล้วนมิได้ก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ หากแต่เป็นการสร้างหนี้ให้กับประเทศผู้รับ และเมื่อประเทศเหล่านั้นจ่ายคืนเงินกู้ไม่ได้ ก็จะต้องโอนสิ่งก่อสร้างต่างๆ กลับให้จีนมาเป็นเจ้าของ หรือไม่ก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพียงแต่ในระยะยาวแล้ว ดูอย่างไร รายได้ที่จะได้ก็ดูไม่คุ้มทุนนัก
จริงอยู่ที่จีนได้สร้างความยิ่งใหญ่ต่างๆ ให้ชาวโลกได้เห็น แต่ถ้าวิเคราะห์กันลึกๆ แล้ว ก็จะเห็นว่าสายป่านฝั่งจีนนั้นดูยิ่งตึงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานั้นดูมีความมั่นคงมากขึ้น โดยมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมรับภาระการวิจัยและพัฒนา ซึ่งตรงกันข้ามกับจีนที่ภาระต่างๆ ตกอยู่ในชื่อของภาครัฐเป็นหลัก
ประเด็นปัญหาภายในภายนอกของจีนนั้นมีอยู่รอบด้าน และจีนเอง ก็มุ่งใช้วิธีการตาต่อตามาโดยตลอด นั่นก็เพราะอาจจะลืมข้อจำกัดต่างๆ ที่ตนเองมี เนื่องจากปัญหานั้นประดังเข้ามาเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน
ที่ไปที่มาทั้งหมดของปัญหาจีนในวันนี้ เกิดขึ้นก็เพราะจีนมุ่งใช้ความเป็นชาตินิยมเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศ ก็เลยต้องรังแต่จะต้องเลือกหนทางเผชิญหน้า มุ่งเอาแพ้เอาชนะ เพื่อหล่อเลี้ยงคะแนนนิยมจากประชาชนชาตินิยม แทนที่จะสามารถเลือกหนทางเจรจาถ้อยทีถ้อยอาศัย
กล่าวมาทั้งหมดนี้ สรุปง่ายๆ ว่า สหรัฐฯ นั้น หากจะไม่ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจีน สหรัฐฯ ก็ยังอยู่ได้ แต่ถ้าจีนขายสินค้าเหล่านี้ให้สหรัฐฯ ไม่ได้ จีนมีปัญหาขึ้นมาทันที
ด้วยการนี้ ก็ได้แต่หวังว่า ผู้นำชาตินิยมจีนจะเห็นถึงปลายทาง และยอมลดทิฐิลง โดยหันมาใช้การทูตนำหน้าเสียที หันกลับมาเจรจาต่อรองกับทางสหรัฐฯ แบบยอมเสียประโยชน์บ้าง ได้ประโยชน์บ้างให้พอเท่าเทียม ซึ่งจีนคงอยู่ในฐานะผู้สูญเสียมากกว่าและอาจจะทำให้ประเทศเล็กๆ ที่ค้าขายอยู่กับจีนและสหรัฐฯ ต้องยากลำบากไปด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี