ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 กัญชาถูกประกาศให้เป็นยาเสพติดให้โทษ และต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวดตามกฎหมายที่เกี่ยวกับยาเสพติดอีกหลายฉบับ เพราะเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท เป็นโทษต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้เสพ
แต่จากวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้น มีการใช้ประโยชน์จากสารสกัดกัญชาในการรักษาโรค อีกทั้งรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลก กว่า 30 ประเทศ ที่ได้ออกกฎหมายให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ ทำให้เกิดมีกระแสการเรียกร้องในประเทศไทยให้กัญชาถูกกฎหมายขึ้น จนกระทั่งมีการคลายล็อก “กัญชาเพื่อการแพทย์” ตามพ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
แม้กัญชาจะถูก “ปลดล็อก” แต่ก็ยังมีข้อกำหนดที่ระบุตามกฎหมาย และมีโทษหากมีการฝ่าฝืน เรียกได้ว่า “ถูกกฎหมาย” แต่ “ยังไม่เสรี” เพราะกฎหมายยังระบุให้ใช้เพื่อการแพทย์เท่านั้น อีกทั้งการปลูกและการศึกษาวิจัยจะทำได้เฉพาะหน่วยงานของรัฐและมหาวิทยาลัย และจำกัดการใช้เฉพาะผู้ป่วยที่มีแพทย์รับรองตามกฎหมายกำหนด แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นความก้าวหน้าของกฎหมายบ้านเมืองที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ความต้องการของสังคม
การเปลี่ยนทัศนคติต่อกัญชาเช่นนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เคยรอความหวังในการหายจากโรคร้าย เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ รวมทั้งอาจมีประโยชน์จากการใช้คีโมรักษาโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้กลับมามีกำลังใจอีกครั้ง
เรื่องของกัญชา เป็นกรณีศึกษาที่ดีให้มองต่อไปยังเรื่องของบุหรี่ ซึ่งในวันที่ 31 พฤษภาคม เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก เราจึงได้เห็นการรณรงค์เลิกบุหรี่ของหลายหน่วยงาน โดยเป็นการให้ความรู้ถึงโทษของการสูบบุหรี่และการได้รับควันบุหรี่มือสองที่ส่งผลต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และวัณโรค
ทั้งที่มีการรณรงค์ให้ความรู้กันอย่างเข้มข้น รวมถึงมีมาตรการควบคุมการบริโภคบุหรี่ที่เข้มงวด แต่ในปี 2560 ประเทศไทยกลับมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 8 หมื่นคน หรือเพิ่มขึ้นจากเดิม 40% จากปีก่อนหน้า เราคงต้องเริ่มยอมรับความจริงกันแล้วว่าผู้สูบบุหรี่ต่างตระหนักดีถึงอันตรายจากการสูบบุหรี่แต่ก็ยังตัดสินใจที่จะสูบบุหรี่ต่อไป จึงถือเป็นความท้าทายที่ทำให้การรณรงค์เลิกบุหรี่ยังไปไม่ถึงเป้าหมายเท่าที่ควร
หากมองย้อนกลับมาที่ต้นตอของการสูบบุหรี่ จะพบว่า ผู้สูบบุหรี่ต้องการนิโคติน ซึ่งเป็นสารทำให้เสพติด แต่ “ควันบุหรี่” ต่างหากที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง ดังนั้น หากผู้สูบได้รับนิโคตินในรูปแบบที่ไม่มีการเผาไหม้ เช่น หมากฝรั่งนิโคติน แผ่นแปะนิโคติน บุหรี่ไฟฟ้า หรือยาสูบแบบไม่เผาไหม้ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคที่เกี่ยวกับการสูบบุหรี่ได้ และเป็นทางเลือกสำหรับผู้สูบบุหรี่ได้
แนวทางเหล่านี้เป็นมาตรการเสริมเพื่อการลดพิษภัยจากควันบุหรี่ที่ใช้กันในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สหภาพยุโรป และนิวซีแลนด์ เป็นต้น
ถึงเวลาที่เราต้องมอง อันตรายของบุหรี่ เสียใหม่ หากกัญชายังกลายเป็นยาได้ นิโคตินที่ไม่เคยเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งหรือถุงลมโป่งพองเลย ก็ควรจะถูกมองเสียใหม่ เราจะได้มีทางเลือกใหม่ๆ ในการควบคุมยาสูบได้ ดีกว่าปล่อยให้ทุกๆ 4 วินาที มีคนตายจากการสูบบุหรี่ 1 คน และผู้สูบบุหรี่อีกกว่า 10.7 ล้านคน คงต้องหมดหวังที่จะลดอันตรายจากควันบุหรี่ต่อปอดและต่อสุขภาพโดยทั่วไปให้กับตัวเองได้
หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้มาจากท่านผู้รู้ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับกัญชาและบุหรี่ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี