เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สถาบัน IMD World Competitiveness Center ของสวิตเซอร์แลนด์ ได้เผยแพร่รายงาน IMD World Competitiveness Yearbook 2018 ซึ่งเป็นการรายงานการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่สำคัญแต่ละภูมิภาคต่างๆ 63 ประเทศทั่วโลก ผลการจัดอันดับดังกล่าว พบว่าในปีนี้สหรัฐอเมริกาขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ตามด้วย ฮ่องกง สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่มีอันดับความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นมากที่สุด ได้แก่ ออสเตรีย ที่มีอันดับสูงขึ้นถึง 7 อันดับจากอันดับที่ 25 ในปีที่แล้วเลื่อนมาอยู่ในอันดับที่ 18 ในปีนี้ รองลงมาคือ โปรตุเกส และประเทศสโลวีเนีย ที่เลื่อนขึ้นมาถึง 6 อันดับ โดยมีอันดับที่ 33 และ 37 ตามลำดับ
สำหรับอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยนั้นจากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโดย IMD ในปี 2561 ไทยมีผลที่ตกลงทั้งโดยคะแนนและอันดับโดยมีคะแนนรวมในปี 2561 เท่ากับ 79.450 เปรียบเทียบกับ 80.095 ในปี 2560 และมีอันดับที่ตกลง 3 อันดับ โดยลดลงจากอันดับที่ 27 ในปี 2560 เป็นอันดับที่ 30 ในปี 2561 หากพิจารณาเฉพาะ 5 ประเทศอาเซียนที่อยู่ในการจัดอันดับนี้ ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียแล้ว ส่วนใหญ่มีอันดับลดลงโดยเฉพาะฟิลิปปินส์ ที่อันดับลดลงถึง 9 อันดับ จากอันดับที่ 41 ในปี 2560 ลงมาที่ 50 ในปี 2561 ในขณะที่ มาเลเซียเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่มีอันดับดีขึ้นจากอันดับที่ 24 เป็นอันดับที่ 22 ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาคะแนนที่ไทยได้รับในระยะปี 2557-2561 จะเห็นได้ว่ามีคะแนนที่สูงขึ้นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมาแต่ในปี 2561 คะแนนของไทยลดลง โดยในปี 2561 ประเทศไทยมีคะแนน 79.450 ในขณะที่คะแนนเฉลี่ยของ 63 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเท่ากับ 76.61 แสดงให้เห็นว่า แม้คะแนนของไทยยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก แต่รัฐบาลและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศควรมีการเร่งดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะทำให้ไทยมีอันดับความสามารถที่สูงขึ้นจนเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำของโลกได้ในอนาคตได้อย่างแน่นอน
ปี 2561 ไทยอยู่ในอันดับที่ 30 จากทั้งหมด 63 ประเทศ โดยลดลงจากอันดับที่ 27 ในปี 2560 ซึ่งจากผลการจัดอันดับที่แบ่งเป็น 4 ด้านได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานปรากฏว่าผลการจัดอันดับในด้านสภาวะเศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในอันดับที่ดีคืออันดับที่ 10 เท่ากับในปี 2560 ส่วนด้านประสิทธิภาพของภาครัฐมีอันดับที่ลดลงเป็นอันดับที่ 22 จากอันดับที่ 20 ในปี 2560 ในขณะที่ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังคงอยู่ในอันดับที่ 25 เช่นเดิม ส่วนด้านที่มีอันดับดีขึ้นคือโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีอันดับดีขึ้นเป็นอันดับที่ 48 จากอันดับที่ 49 ในปี 2560
เมื่อพิจารณาในประเด็นสำคัญพบว่า ถึงแม้ผลการจัดอันดับในภาพรวมจะลดลง แต่ผลการจัดอันดับด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรากฐานของการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ของประเทศในระยะยาวเริ่มมีอันดับที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่มีอันดับดีขึ้นถึง 6 อันดับจากอันดับที่ 48 ในปี 2560 เป็นอันดับที่ 42 ในปี 2561 อันเป็นผลมาจากการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในภาคเอกชนที่รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมโดยให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรและการเปิดโอกาสให้นักวิจัยภาครัฐสามารถทำงานร่วมกับภาคเอกชนนอกจากนั้นอันดับความสามารถด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานก็มีอันดับที่ดีขึ้น
ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เริ่มเห็นเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามการลงทุนดังกล่าวก็ส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายขาดดุลในภาครัฐและทำให้อันดับความสามารถที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ลดลง ทั้งนี้ ประเด็นที่รัฐบาลยังคงต้องให้ความสำคัญ คือ การพัฒนาทางด้านสังคม การศึกษา และสาธารณสุข อันเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
การวิเคราะห์ผลการจัดอันดับเป็นรายปัจจัยจะเห็นได้ว่าไทยยังคงมีจุดแข็งด้านสภาวะทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐและภาคธุรกิจอยู่ในกลุ่มปานกลางค่อนข้างสูง ส่วนด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำซึ่งต้องมีการพัฒนาต่อไป
ปี 2561 ที่ผ่านมาไทยมีประชากร 66.8 ล้านคน มีรายได้ประชาชาติ 1.390 ทริลเลี่ยนเหรียญสหรัฐ หรือ 444 ล้านล้านบาท เฉลี่ยคนไทยมีรายได้ต่อคนต่อปีประมาณ 20,475 เหรียญสหรัฐ หรือ 655,200 บาท มีเงินตราต่างประเทศสำรอง 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทำให้ค่าเงินบาทในปี 2562 แข็งค่ามากเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลหลักของโลกไทยมีอัตราเงินเฟ้อต่ำแค่ร้อยละ 2-3 ต่อปีแทบไม่มีประชากรที่ตกงานเลย แต่อัตราการเกิดของทารกน้อย มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อปีเท่ากับร้อยละ 4 มีการส่งออกต่อปี ปีละมากกว่า 240,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การค้าระหว่างประเทศเกินดุลทุกๆ ปีติดต่อกันถึง 5 ปี นี่เป็นผลงานของรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และมีดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และโดยได้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการคลังนั่นเอง
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี