ใครจะคิดล่ะครับว่า การใช้เวลา 5 ปี ในการบริหารจัดการบ้านเมืองโดยรัฐบาล คสช. ที่เข้าควบคุมบ้านเมืองหลังมีเหตุขัดแย้งทางการเมืองและการชุมนุมทางการเมือง โดยที่ฝ่ายการเมืองไม่สามารถ “ให้ทางออก” แก่ประเทศได้ ทหารจึงต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ และพัฒนาการขึ้นเป็นรัฐบาล ในช่วงเวลาที่ประชาชนเรียกร้อง “การปฏิรูปประเทศ” สุดท้ายเราจะได้นักการเมืองแบบปัจจุบัน พรรคการเมืองแบบปัจจุบัน และทำทีทำท่าว่าจะได้“รัฐบาลผสม” ที่มีพรรคร่วมรัฐบาล “มากที่สุด” เท่าที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเคยมีมา
ก่อนจะมาถึงวันนี้ แม่น้ำสายต่างๆ ของ คสช. วางแปลนประเทศ ปูทางเส้นทางการเมืองมาทีละเล็กละน้อย โดยที่คนไทยไม่ทันไหวตัว ว่าเป็น “ช่องทางพิเศษ” เพื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มากกว่าสร้าง “กติกากลาง” ที่จะไม่สร้างความขัดแย้งหรือความเดือดแค้นสะสมให้แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ดังที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จากกลุ่มสามมิตร และกลายเป็นแกนนำคนสำคัญของพรรคพลังประชารัฐ เคยกล่าวดังๆ บนเวทีวันเปิดตัวเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐเมื่อวันอาทิตย์ (18 พ.ย. 2561) ว่า “รัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”
“จากประสบการณ์การเลือกตั้งหลายครั้ง พรรค พปชร. จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะต้องยอมรับว่ากระแสของพรรคการเมืองเก่านั้นมีอยู่ ดังนั้น จะทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองเก่า ถ้าเปลี่ยนความรู้สึกในกระแสพรรคเก่าไม่ได้โอกาสที่เราจะชนะจะยาก การเลือกตั้งนี้ รัฐธรรมนูญดีไซน์ (ออกแบบ) มาเพื่อพวกเรา เราจึงต้องใช้ประโยชน์ในส่วนนี้ ทุกคะแนนมีความสำคัญ ฉะนั้นตัวบุคคลในแต่ละเขตแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนให้ได้ เพราะทุกคะแนนมีความสำคัญมาก”
25 พฤษภาคม 2562 รายการทุบประเด็น จากช่องไบรท์ทีวี ได้สัมภาษณ์ นายวีระกร คำประกอบ สส.เขต 2 จ.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ สส. ผู้เสนอญัตติ ขอเลื่อนระเบียบวาระการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรออกไป เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562
ช่วงหนึ่ง นายวีระกรกล่าวว่า แต่ละพรรคก็มีการหาเสียงของตัวเอง อย่างเช่นพรรคภูมิใจไทย หากไม่ได้กระทรวงสาธารณสุข เขาจะยอมไหม? อย่างพรรคพลังประชารัฐก็หากินกับชาวนา บอกว่าข้าวต้อง 10,000 หากไม่ได้กระทรวงนี้ แล้วจะทำได้ไหม หากไม่ใช่นโยบายของพรรค จะให้คนอื่นทำไม่ได้ การต่อรองนั้น เพราะต้องการให้ประเทศชาติเดินได้
นายวีระกรยังพูดต่อว่า เคยมีใครถามตนสักคำไหมว่า ทำไมถึงออกจากพรรคเพื่อไทย? รัฐธรรมนูญแบบนี้ จะทำให้พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้ไหม? ผ่านกฎหมายได้ไหม? หากวุฒิเขาไม่โหวตแล้วคุณจะทำอย่างไร แล้วแบบนี้ประเทศชาติจะเดินไม่ได้ ทหารก็จะใช้ ม.44 ไปเรื่อยๆ
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญเจ้าปัญหา รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ดีไซน์มาไว้สำหรับพรรคอื่นเลยที่จะเป็นรัฐบาล ดีไซน์มาสำหรับให้พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น ตนจึงจำเป็นต้องย้ายมาอยู่ตรงนี้ เพื่อให้ประเทศชาติได้นับหนึ่งได้ และเวลาหาเสียงตนก็พูดอย่างนี้ หากอยู่เพื่อไทย ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถามหน่อยว่า รัฐบาลประชาธิปไตย คุณจะทำได้ไหม?
ครั้นพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคคนล่าสุด และการเจรจาของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ในการร่วมหรือไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นแกนนำ จึงต้องมีเงื่อนไขหนึ่งชัดเจนว่า “ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ” แล้วไม่มีใครมองเห็นหรือชื่นชม กลับเอาแต่ด่า แต่กดดันว่ายึกยัก ต่อรอง ทำให้ล่าช้า บ้านเมืองไม่เดินไปข้างหน้าซะที (นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “ความไม่สมประกอบ” ที่การเมืองไทยเผชิญอยู่ คือ อารมณ์ที่เหนือเหตุผล เหนือความรู้ เหนือการพินิจพิจารณาของผู้คนส่วนใหญ่)
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับการตอบรับ การร่วมรัฐบาลอาจไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตอบล่วงหน้าไม่ได้ แต่ได้พูดคุยเบื้องต้นถึงเงื่อนไขการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มองว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าจะตัดสินใจร่วมงานกับพลังประชารัฐ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องพาประเทศเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นได้ ถ้าไม่หยิบประเด็นนี้ขึ้นมา จะทำให้โอกาสที่ประเทศจะเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยริบหรี่ลง เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ทำยากมาก เพราะต้องใช้เสียงข้างมากเกินกว่ากึ่งหนึ่งของรัฐสภา ซึ่งจะต้องมีเสียงสส.ฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และเสียงจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 1 ใน 3 ของจำนวน สว.ทั้งหมดด้วย จึงเกือบจะปิดประตูในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงคือ แก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยวิธีไม่ปกติ ซึ่งเราไม่ประสงค์ให้เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาว่าทำไมเราต้องยื่นเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าถ้าร่วมรัฐบาล รัฐบาลต้องเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญในนามรัฐบาลหรือกำหนดเป็นนโยบาย เพราะจะมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า นอกจากนี้มีการเสนอว่าต้องนำนโยบายการประกันรายได้เกษตรกรที่เราใช้ในการหาเสียงไว้กับประชาชน ไปบรรจุเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ทั้งหมดจะต้องขึ้นอยู่กับพรรคแกนนำว่าจะตอบรับข้อเสนอนี้หรือไม่ ซึ่งเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อนี้สำคัญต่อการตัดสินใจว่าจะร่วมรัฐบาลหรือไม่
สังคมไทยที่เอาแต่ “แบ่งฝักแบ่งฝ่าย” ไม่เคยสนใจ “ความไม่เป็นธรรมไม่เป็นกลาง” ของรัฐธรรมนูญที่ถูก “ฤๅษีแปลงสาร” ตัดนิด เติมหน่อย แก้แปลง ทั้งเติมคำถามพ่วง เติมบทเฉพาะกาล เติมนั่นตัดนี่ ในรัฐธรรมนูญและในกฎหมายลูก จนเราได้ “การเมืองหลังยุคปฏิรูป” มาในสภาพนี้
ที่ขออภัยนะ ต้องใช้คำว่า “ไม่สมประกอบทางการเมือง”และสร้างแต่ปัญหาขัดแย้ง ตลอดจนไม่เป็นหลักประกันด้านเสถียรภาพ คือ ความต่อเนื่องทางการเมืองได้เลย ในสภาพเสียงปริ่มน้ำ ทำท่าจะมีรัฐบาลที่พรรคร่วมเป็นสิบ แถมในพรรคแกนหลักก็มีมุ้งเกินสิบ การต่อรองเกิดขึ้นอย่างมหาศาล นี่คือการดีไซน์(ออกแบบ)ให้การเมืองมีเสถียรภาพ มั่นคง ปลอดจากการแสวงหาผลประโยชน์หรือครับ ต่อไปใครจะเป็นพรรคแกนนำตั้งรัฐบาล มีต้องเตรียมเงินถุงเงินถัง หรือกุมอำนาจสำคัญเพื่อกดหัวพรรคร่วมหรือมุ้งต่างๆ ในพรรคให้ได้ พรรคเล็กเสียงดังกว่าพรรคใหญ่ นี่คือดุลแห่งอำนาจที่ “ปฏิรูป” กันมาหรือครับ
ยังไม่รวมว่า คนที่เขียนกฎหมาย แปลงกฎหมาย เติมกฎหมายมา ได้มาชูคอสลอนในวุฒิสภา ประหนึ่งว่าเขียนกฎหมายชงให้ผู้มีอำนาจได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเลือก สว. และเลือก “มือชง” และขาเลียจำนวนไม่น้อย มาเสวยสุขไปอีก 5 ปี และแทรกแซงการเลือกนายกรัฐมนตรี ตลอดจนดักทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้พร้อมๆ กับมีอำนาจติดตามการปฏิรูปและการเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติด้วย เราจึงเห็นนายพลเกษียณนั่งกันสลอน ผสมกับตำรวจ สมาชิกจากแม่น้ำ 5 สายของ คสช. และรัฐมนตรีของ คสช. “มีงานทำ”กันอยู่ในสภาที่ชื่อ “วุฒิสภา” นี้ เราไม่กล่าวในเชิงว่าดีหรือไม่ดี ฉลาดหรือไม่ฉลาด แต่เป็นการ “ใช้โอกาส” ที่ไม่นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งให้แก่ประเทศชาติของ คสช.
ยังไม่รวมว่า ในช่วงก่อนและขณะหาเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองบางพรรคเคลื่อนไหวได้ บางพรรคเคลื่อนไหวไม่ได้ คณะรัฐมนตรีเดินสายลงพื้นที่ไปทั่วทุกสารทิศ นายกฯ อนุมัติงบประมาณโชว์ พร้อมกับบอกว่า คสช. กับรัฐบาลยังไม่จบงานเพียงแค่นี้ ต้องมีการสานต่อ พรรคพลังประชารัฐก็หาเสียงด้วยการบอกว่า “จะสานงานต่อ” ทันที พล.อ.ประยุทธ์ ไปเปิดตลาดนัดจตุจักร ที่โอนเข้ามาอยู่ในความดูแลของ กทม. ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง แกนนำ กทม. ของพรรคพลังประชารัฐก็ตามไปหาเสียงในที่เดียวกันทันที
มันมีบรรยากาศในแบบที่ชวนให้นึกถึง “คำถาม”ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคย “ถามปูทาง” เคย “ถามชี้นำ” เอาไว้ ไม่รู้ว่าท่านยังจำได้หรือไม่ และอยากให้ท่าน ตอบคำถามเหล่านั้นบ้างในเวลานี้ ขอทวนคำถามให้ท่านก็แล้วกัน ดังนี้
26 พ.ค. 2560 ท่านถามในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนว่า รัฐบาลและคสช. ยืนยันว่า การเป็นประชาธิปไตยของไทย จะต้องไม่เป็นประชาธิปไตยที่ล้มเหลว จะต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลซึ่งยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล นำพาให้ชาติ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ภายใต้ศาสตร์พระราชาให้ได้ โดยตนอยากฝากประเด็นคำถามไว้ 4 ข้อ เพื่อรับทราบความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน และนำมาพิจารณาแนวทางการทำงานต่อไป คือ
1.ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่
2.หากไม่ได้ จะทำอย่างไร
3.การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง
และ 4.ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร
ต่อมา 8 พ.ย. 2560 หลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ ได้แจ้งต่อสื่อมวลชนถึงคำถามที่ขอสอบถามประชาชน รวม 6 ข้อ ดังนี้
1.วันนี้เราจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองใหม่ๆ หรือนักการเมืองหน้าใหม่ๆ ที่มีคุณภาพให้ประชาชนได้พิจารณาในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่? การที่มีแต่พรรคการเมืองเดิม นักการเมืองหน้าเดิมๆ แล้วได้เป็นรัฐบาล จะทำให้ประเทศชาติเกิดการปฏิรูป และทำงานอย่างต่อเนื่องตามยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่?
2.การที่ คสช. จะสนับสนุนพรรคการเมืองใด ก็ถือเป็นสิทธิ์ของ คสช. ใช่หรือไม่ เพราะนายกฯ ก็ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งอยู่แล้ว
3.สิ่งที่ คสช. และรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประชาชนมองเห็นอนาคตที่ดีของประเทศชาติบ้างหรือไม่
4.การเอาแนวทางจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอดีต มาเปรียบเทียบกับการจัดตั้งรัฐบาลในวันนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมดหรือไม่? เพราะสถานการณ์บ้านเมืองก่อนหน้าที่ คสช. และรัฐบาลนี้จะเข้ามา เราได้พบเห็นแต่ความขัดแย้ง ความรุนแรง การแบ่งแยกประเทศเป็นกลุ่มๆ เพื่อมาสนับสนุนทางการเมืองใช่หรือไม่ ?
5.รัฐบาลและการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยที่ผ่านมาของไทย ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล และมีการพัฒนาประเทศที่มีความต่อเนื่อง ชัดเจนเพียงพอหรือไม่?
6.ข้อสังเกตเพื่อพิจารณา เหตุใดพรรคการเมือง นักการเมืองจึงออกมาเคลื่อนไหว คอยด่า คสช., รัฐบาล, นายกรัฐมนตรี บิดเบือนข้อเท็จจริงในการทำงานในช่วงนี้อย่างมากผิดปกติ ฝากถามพี่น้องประชาชนว่าเป็นเพราะอะไร
นายกรัฐมนตรี ยังระบุในตอนท้ายของคำถามที่ 6 ด้วยว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ อยากให้ทุกคนที่เป็นคนไทยได้เป็นผู้พิจารณาตัดสินใจ และย้ำขอให้ประชาชนช่วยตอบคำถาม ผ่านช่องทางต่างๆ ของกระทรวงมหาดไทย และยังกล่าวด้วยว่า เป็นการถามคำถามกับประชาชน ไม่ได้พูดกับนักการเมือง
ส่วนการที่คสช.จะสนับสนุนพรรคการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมจะสนับสนุนใครเป็นสิทธิ์ของผมหรือเปล่า ผมไปเลือกตั้งกับเขาหรือไม่ ก็เปล่าอีก เลือกตั้งได้ไหม ไม่ได้ ผมไม่ได้ลาออก ก็จบแล้วนิ แล้วผมจะไปอะไรกับใคร สิทธิ์ของผมก็มีไม่ใช่หรือ ผมจะสนับสนุนใคร แล้วจะไปบอกใคร ใครตั้งมาผมจะสนับสนุนใครก็ได้ หรือไม่สนับสนุนใครเลยก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรใหม่ๆ มา ผมก็ไม่สนับสนุน”
ผมไม่รู้ว่า ที่ประชาชนเขาไปตอบคำถามเหล่านี้กันผ่านศูนย์ดำรงธรรมนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้อ่านหรือไม่ ดีที่สุด คือ นำมาอ่านอีกรอบในเวลานี้ เพื่อ “เจริญสติ” และดียิ่งกว่านั้นคือ ท่านช่วยตอบคำถามที่ท่านตั้งขึ้นเองในเวลานี้ ให้ประชาชนคนไทยได้ฟังสักหน่อย
จะได้ไหมครับ?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี