l เจี๊ยบ & โจ๊ก ลูกรัก
“พ่อจะอยู่ทันเห็นประชาธิปไตย ไหม?”
เป็นคำถาม ที่อยู่ในใจพ่อ และผู้นำภาคประชาชน คิดอยู่ในใจ แต่เป็น “ลูกทั้งสอง” ถามขึ้นพร้อมกัน
l คงฟัง “พ่อเล่าถึงประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ของผู้นำและประชาชนยุคต่างๆ และคงเห็น “พ่อ” ใช้เวลาหลังเกษียณมากกว่าเดิม “คิดและทำ” ในสิ่งที่พ่อคิดและใจปรารถนาตั้งแต่เช้าตรู่ หลังเที่ยงคืน สามสี่ชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงพ่อเดินลงบันได ไปห้องทำงานเล็กๆ ห้องนั้นทำงานหลายชั่วโมง : แต่หยุดพัก เดินไปมา มาชงกาแฟ ต้มน้ำอุ่นๆ กิน และพักทุก 45-60 นาที เกือบทุกวัน จะมีช่วง “เพื่อน และมิตรสหาย” โทรมาคุยแลกเปลี่ยนสถานการณ์ ทำให้มีข้อมูลที่ดี
- บางวัน จะ “ส่งข่าวสาระฯ” ช่วงแรกไปก่อน แล้วไปเดินแกว่งแขนออกกำลังกาย + วิ่งจ๊อกกิ้ง แล้วกลับมาพัก อาบน้ำอุ่น กินข้าวง่ายๆ มีอะไรก็กิน “พ่อบอกว่า กินอะไร ก็อร่อย”
- บางวัน จะเดินออกไป “ปากซอย” ระยะทางกิโลเมตรเศษๆ ไปขึ้นรถเมล์ ไปธุระ ส่วนใหญ่ไปงานพ่อ จะร่วมงานต่างๆ จัดเวลาให้อยู่ในวันเดียวกัน “ไปครั้งเดียว ได้ หลายงาน” บางวัน กลับมาดึกดื่น ก็จะเรียกแท็กซี่เข้าบ้าน บางครั้ง ก็โทรตามรถวินมอเตอร์ไซค์มารับ และบ่อยครั้ง เวลาขากลับ มักจะซื้อเครื่องดื่มเย็นๆ และของกินเล็กๆ น้อยๆ มาฝากยามหมู่บ้าน
l เรื่อง การทำบุญ “ทอดกฐินทอดผ้าป่า” พ่อ : ไม่ค่อยทำ แต่จะ “ช่วยเหลือเพื่อนๆ น้องๆ ที่เดือดร้อนทั้งๆ ที่พ่อใช้เงินวันละร้อยสองร้อย เดือนหนึ่งไม่เกินหมื่นบาทแต่ช่วยเหลือเพื่อนๆ ปีละสี่หมื่น ทุกปี เพื่อนๆ น้องๆ หลายคน “เป็นนักต่อสู้ฯ” แต่มีสุขภาพไม่ดี รายได้ขาดหาย, เป็นผู้ที่สมควรช่วยกัน
l แม้ บางครั้ง ลูกๆ รู้สึก : พ่อทุ่มมากไป และหลายครั้ง ก็เสียสละให้ผู้อื่น ในหลายเรื่อง : แต่พ่อก็ยิ้มมีสุข
l เกือบทุกครั้ง ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ 14 ตุลา 2516 ไล่มาถึงปัจจุบัน : พ่อไม่เคยขาดและ “พ่อและเพื่อนๆ” จะเป็นส่วนแรกๆ ที่เริ่มทำ ตั้งแต่ต้น ทำจนคนสุดท้าย, เลิกเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยลูกๆ ก็เคยไปร่วมเหตุการณ์ “พฤษภา 2535” กับ “แม่จุก” ในขณะอายุไม่เท่าไหร ? แต่เหตุการณ์ : พธม. โดยเฉพาะ “กปปส. 2556-2557” ลูกๆ ไปเอง แถมพาหลานไปด้วย
l ยุคหลัง 22 พฤษภาคม 2557 การรัฐประหาร ของ คสช. พ่อ กับเพื่อนๆ ยังคงเดินหน้า ทำต่อไม่หยุดทำงานหนักกันขนาดนี้ น่าจะเสร็จสิ้นไปแล้วน่ะ หรือก็ควรเลิกทำเถอะ ให้ “คนอื่นๆ ทำกันบ้าง” เพื่อนสนิทของพ่อหลายๆ คน ส่วนหนึ่ง ที่เรียนร่วมกันมา ก็ขอพัก หาความสุขใส่ตัวบ้าง เพราะ “แก่แล้ว” บางส่วนที่เป็นนักต่อสู้เก่า มีหลายคนเปลี่ยนไป อ้อ อาจจะไม่เปลี่ยน แต่เราเพิ่งเห็น “ธาตุแท้ของเขา” อคติต่อทหาร ข้าราชการ นายทุน : แต่กลับไปร่วมกับ บางพรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ แต่คิดเก่าเพื่อตนเอง และ มักเป็นพวกยึดประสบการณ์เดิมๆ ที่ไม่เคยสรุปประเมินผล คิดและทำแบบเดิม : จึงไม่ได้ผล “แต่แปลก” ไม่เคยโทษตัวเอง “ได้แต่ชี้นิ้วไปยังคนอื่น” ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ แถมผรุสวาทรุนแรงและมัก “กล่าวอ้างพลังประชาชน” ซึ่งความจริง “บางคน” ก็เพียงแต่ขึ้นเวที หรือออกหน้าจอบ่อยๆ แต่งานด้านหลัง : การให้ “ความรู้ความคิด ข้อมูลที่ถูกต้อง ยกระดับประชาชน” ไม่เคยทำหรือทำน้อย การประสาน ความรู้ความเข้าใจ การร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ (แนวร่วมฯ) ไม่สนใจทำ, จึงขาดพลัง
l ถามพ่อตรงๆ พ่อ : จะทันเห็นไหม ยุคศรีอาริยะ ประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาชนมีสุขพ้นทุกข์? พ่อไม่ขอตอบตรงๆ : แต่ให้ความจริง ที่ปรากฏขึ้นมาตลอดของพลังฝ่ายต่างๆ เพื่อให้ลูกๆ ไปคิดเอง”
1.สภาพลักษณะสังคมไทย “โครงสร้างและระบบ” เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม และประชาชนขาดคุณภาพ
2.ผู้นำสังคม ทั้งการเมืองเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม ขาดผู้นำที่เป็นรัฐบุรุษ ไม่รวมพลังสู้เพื่อบ้านเมืองจริงและกรอบคิด ยังติดยึดกับ “ระบบการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม” ในการคัดกรองผู้เข้าสู่อำนาจรัฐ
3.บางส่วนเห็นแล้วว่า “ระบบการเข้าสู่อำนาจรัฐ การใช้อำนาจรัฐ และการตรวจสอบอำนาจรัฐ” ล้มเหลวแต่ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง เพราะกลัวความรุนแรง ความขัดแย้ง ความวุ่นวายของบ้านเมืองและคาดหวัง ให้ “พระสยามเทวาธิราช หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาช่วยแก้วิกฤติของบ้านเมือง”
4.ในส่วนประชาชนไทย แม้จะลำบาก ทุกข์ยาก แต่ ยังอยู่ได้ ดิ้นรนไปได้ ไม่ถึงที่สุด : จึงไม่ร่วมเปลี่ยนแปลง (เพราะสังคมไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายอุดมสมบูรณ์ เป็นศูนย์กลางของอาเซียน เอเชีย)
5.ผู้นำการเมือง พรรคการเมือง กลุ่มทุนใหญ่กลางเล็ก “คิดแต่ผลประโยชน์ตนเอง และไม่มีความคิดใหม่ๆ”
6.ที่ผ่านมา “ผู้นำรัฐบาล รัฐสภา ฝ่ายตุลาการ กองทัพ ข้าราชการประจำ กลุ่มทุน นักวิชาการ” คิดแต่ตัวเองเอาตัวเอง และพวกพ้องให้อยู่ได้, หากเกิดวิกฤติ มีผู้นำออกมาสู้ ก็ร่วมสนับสนุนเป็นครั้งคราว ไม่ถึงที่สุด
7.นักต่อสู้ ผู้นำภาคประชาชน ทั้งปัจเจกและองค์กร แม้แต่พรรคการเมืองของประชาชน ไม่มีศักยภาพพอทำได้ นำได้ เป็นบางครั้งบางคราว ทำได้บางระดับ แล้วก็หยุด หรือพ่ายแพ้ ไม่มีพลังเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
8.ปัจจัยที่สำคัญ คือ “ขาดการสรุปบทเรียนที่เป็นจริง” จึงไม่รู้พลังที่แท้จริงของประชาชน ไม่รู้จักมิตร ศัตรู และแนวร่วมในการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงได้จริง
9.สังคมไทย จึงไม่มี “กรอบคิด แนวทาง ในการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง”
10.ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือ ความเป็นจริง ในชีวิต 70 ปี จากการต่อสู้ทุ่มเท “ชีวิต” ให้กับบ้านเมือง
l แต่ “พ่อและเพื่อนๆ และผู้คนอีกไม่น้อย” ยังคงมีความหวัง : ความฝันอันสูงสุด ว่า “สักวันหนึ่ง...”
4ปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดจาก “ผู้นำที่เป็นรัฐบุรุษ กลุ่มองค์กร สถาบันทุกระดับโดยมีปัจจัยภายใน” อัตตวิสัยของผู้นำ โดยเฉพาะผู้นำสถาบันระดับสูง, มิใช่ “ผู้นำพรรคการเมือง”
4และ “ภววิสัย” ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ทั้งภายในและภายนอกประเทศโดยมีพลังจาก ภาคประชาชน ชนชั้นกลาง ผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เข้าร่วมรวมพลังครั้งใหญ่สุด
l โดย “พ่อ” ยังคง คิด ฟัง ร่วมพูด และทำด้วยความคิด สติปัญญา ความจริง : เริ่มจากทำและพัฒนาตนเอง อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุด จนกว่า “แผ่นดินจะกลบหน้า” ร่วมกับเพื่อนมิตรและพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง และแนวร่วมทุกระดับ ฯลฯ
งานหลัก : คือ การพัฒนาความคิดและคุณภาพของผู้นำ และประชาชน ซึ่งเป็นพลังเปลี่ยนแปลงตัวจริง
ลูกๆ ไม่ต้องห่วง : นี่คือ ชีวิต และคือความสุขของพ่อ : ที่ได้ทำ ทำมา และจะทำต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี