ในพลันที่สหรัฐทำสงครามการค้ากับจีนและเพิ่มความดุเดือดเข้มข้นขึ้น ตลอดจนขยายวงกว้างขึ้นในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐแล้ว ข่าวคราวนี้ก็เป็นที่สนใจกันโดยทั่วไป และก็มีคนบางพวกฉวยโอกาสอ้างว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
ว่าแล้วก็โยนความผิดบาปทั้งหลายของสภาพความเป็นไปในทางเศรษฐกิจของประเทศว่าเป็นผลกระทบมาจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ถ้าหากเป็นยุคก่อนร่อนชะไรที่คนไทยยังโง่และการสื่อสารยังไม่กว้างขวางทั่วถึงไปยังผู้คนทั้งประเทศแล้ว ข้ออ้างดังกล่าวนี้ก็จะได้รับความเชื่อถือและก็จะโทษสหรัฐกับจีนว่าทำสงครามการค้ากันจนเป็นเหตุให้กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรง
แต่ทว่าในวันนี้ข่าวสารทั้งหลายได้แพร่หลายทั่วถึงทั้งประเทศ แม้สื่อหลักที่บางรายได้กลายเป็นกระบอกเสียงไปแล้วก็ตาม แต่โซเชียลมีเดียซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเกือบทั้งประเทศก็ได้รับข้อมูลข่าวสารในเรื่องนี้จากทุกด้านและเป็นความรับรู้ร่วมกัน ในภาคประชาชนจึงไม่มีใครโยนผิดบาปให้กับสหรัฐและจีน
ยิ่งไปกว่านั้น นักวิชาการทางเศรษฐกิจและนักพยากรณ์เศรษฐกิจจำนวนมากต่างก็ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่าแท้จริงแล้วสงครามการค้าสหรัฐ-จีน นั้นเป็นผลประโยชน์ของประเทศไทย และประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งถ้าหากมีสติปัญญาคิดเป็นทำเป็น
ดังนั้น กรณีเรื่องนี้เป็นอย่างไร จึงควรได้ทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนสักครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่า อุปมาดั่งฝนตก บางคนก็เปียก บางคนก็ได้รับผลร้ายจากฝนตกนั้น แต่บางคนก็ไม่เปียก และยังอาศัยใช้น้ำฝนให้เป็นประโยชน์ในหลายทาง ดังนั้น การที่ฝนตกจึงไม่ได้เป็นผิดบาปกับใครและไม่ได้เป็นคุณโทษกับใครโดยเฉพาะ
ใครจะได้รับคุณ ใครจะได้รับผลร้าย ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาความสามารถและการเข้าใจโอกาสที่มาถึงหรือไม่เท่านั้น ที่อุปมานี้ฉันใด ที่อุปไมยก็ฉันนั้น
ที่เรียกว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ก็คือการขึ้นภาษีระหว่างกัน โดยสหรัฐเริ่มต้นก่อน ได้เรียกเก็บภาษีสินค้าจีนที่นำเข้าสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และเพิ่มจำนวนสินค้าขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งเกือบครอบคลุมสินค้าที่จีนส่งออกไปยังสหรัฐเกือบทั้งหมด และอัตราภาษีก็เพิ่มสูงขึ้นในระดับสูงสุด คือถึง 25% ของมูลค่าสินค้าส่งออก
ยกตัวอย่าง สินค้าส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐในราคา 1,000 บาท แต่ก่อนนี้มีภาษีนำเข้าสหรัฐในอัตรา 7% บ้าง 10% บ้าง 12% บ้างตามประเภทสินค้า ทำให้ราคาขายสินค้าของจีนในสหรัฐคือราคา 1,000 บาท บวกกับค่าภาษี 7% หรือ 10% หรือ 12% ตามแต่ประเภทสินค้า แล้วบวกด้วยค่ากำไรของผู้นำเข้าหรือผู้จำหน่ายสินค้านั้นในสหรัฐ
ชาวอเมริกันก็ซื้อสินค้าในราคาดังกล่าว และส่วนใหญ่สินค้าที่จีนส่งไปขายสหรัฐนั้นเป็นสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคที่มีราคาต่ำและไม่มีประเทศใดสู้ราคาได้ ทั้งต้องเป็นไปตามมาตรฐานสินค้านำเข้าของสหรัฐด้วย จึงทำให้ชาวอเมริกันได้สินค้าดีในราคาที่ทำมา จนทำให้ชาวอเมริกันติดในสินค้าจีน และคู่แข่งทั้งหลายก็พากันล่วงลับดับสูญไปโดยลำดับ จนกระทั่งสินค้าจีนครองตลาดสหรัฐ และทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น
ครั้นทำสงครามการค้าแก่กัน และเรียกเก็บค่าภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็น 25% คนอเมริกันก็ต้องจ่ายค่าสินค้าเพิ่มขึ้นตามจำนวนอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นนั้น
โดยผลที่แท้จริงก็คือสหรัฐเพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเท่าใด ชาวอเมริกันก็ต้องจ่ายค่าสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้นเท่านั้นด้วย ผลที่แท้จริงก็คือชาวอเมริกันเป็นผู้รับเคราะห์และแบกรับราคาที่สูงขึ้น ในขณะที่ผู้ส่งออกจากจีนไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เพราะไม่มีพ่อค้าที่ไหนในโลกที่จะยอมลดราคาสินค้าจากที่เคยขาย และไม่มีใครยอมลดราคาสินค้าจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น
เพราะเหตุนี้อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐเพิ่มขึ้นเท่าใดผู้ที่รับเคราะห์กรรมก็คือชาวอเมริกันนั่นเอง ดังนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ชาวอเมริกันพากันคัดค้าน ประท้วง และเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐรีบยุติสงครามการค้าโดยไว
แต่ที่หนักข้อก็คือ สินค้าที่นำเข้าจากจีนนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นสินค้าที่นักลงทุนสหรัฐได้ย้ายฐานการผลิตไปผลิตในประเทศจีน ครั้นส่งสินค้าเข้าสหรัฐก็ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น จึงมีผลกระทบต่อบริษัทสหรัฐที่ไปลงทุนในจีนซึ่งมีจำนวนมาก จึงเกิดเหตุการณ์ที่บริษัทอเมริกันจำนวนมากต้องเข้าชื่อกันเรียกร้องต่อรัฐบาลสหรัฐให้ยุติสงครามการค้าในทันที
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน จีนก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากสินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐนั้นส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำพวกเทคโนโลยีจึงไม่กระทบต่อประชาชนจีน และเมื่อราคาสินค้าแพงขึ้นจีนก็ลดการนำเข้าลง และหันไปซื้อหาจากประเทศอื่น ซึ่งมีสินค้าระดับเดียวกันจากทั่วโลก ทำให้จีนเพิ่มคู่ค้าและเพิ่มยอดการค้าขายกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งมิตรประเทศของสหรัฐด้วย
ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่ทำสงครามการค้ากันมาสินค้าจีนยังคงนำเข้าสหรัฐเป็นปกติอยู่ เพราะประชาชนติดยึดในการบริโภคสินค้าดีราคาถูกนั้นแล้ว ในขณะที่ผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีสหรัฐกลับส่งออกไปยังจีนได้ลดลง เพราะจีนไปซื้อจากประเทศอื่นในยุโรปหรือแหล่งผลิตอื่นแทน จึงทำให้ผู้ผลิตในสหรัฐเพิ่มความเดือดร้อนอีกพวกหนึ่ง และพวกนี้ก็มีบทบาทอิทธิพลในวงการเมืองสหรัฐ จึงพากันคัดค้านรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้นอีกแรงหนึ่ง
สภาพเช่นนี้จึงเป็นโอกาสของประเทศไทย ซึ่งไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ หรือได้รับผลกระทบจากสงครามการค้านั้นเลย แต่กลับมีโอกาสหรือช่องว่างทางการตลาดที่ประเทศไทยสามารถขายสินค้าให้แก่สหรัฐและจีนได้ในจำนวนมากมายมหาศาล
ปัญหาคือประเทศไทยได้เห็นโอกาสนี้หรือไม่ และใช้โอกาสนี้เป็นหรือไม่ นี่ต่างหากที่จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี