ชาวไทยนั้นมีความเป็น “ไท” เป็น “เสรีชน” มาช้านาน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สอดคล้องกับการเป็นนักเสรีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเผด็จการ จะจำแลงแปลงกายมาในรูปร่าง รูปแบบใด ประชาชนชาวไทยก็จะต้อง ไม่รับ ไม่ข้องแวะ และไม่ออมชอม
นอกจากนั้นแล้ว ในกรอบ หรือบริบทนี้ เราควรได้แสดงการคัดค้าน ว่าพวกเรานั้นไม่เห็นด้วยกับการที่บุคคลในเครื่องแบบต่างๆ จะเข้ามาเกี่ยวข้อง มีบทบาททางการเมือง โดยเฉพาะบรรดาทหารหาญ นั่นมิใช่เพราะเรารังเกียจทหาร หากแต่เห็นว่า งานการเมืองนั้น มิใช่หน้าที่ของกองทัพ เนื่องด้วยในยุคสมัยนี้ สังคมได้มีกลไกที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมือง โดยไม่ต้องพึ่งพาการเข้ามายึดอำนาจด้วย รถถัง หรือรถติดอาวุธใดๆ อีกต่อไป
ในกรณีของประเทศไทย หากฝ่ายกองทัพมีความคับอกคับใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีหนึ่งใด ฝ่ายกองทัพจะยึดอำนาจมิได้เพราะจะเป็นการกระทำที่ข้ามหน้าข้ามตา เพราะเหนือฝ่ายกองทัพขึ้นไปก็คือ องค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นจอมทัพ ในขณะเดียวกันองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศชาติ ทรงเป็นผู้ปกครองแผ่นดินโดยธรรม และเป็นผู้รักษาดูแลความเป็นไปในนามของและเพื่อปวงชนชาวไทย และนายกรัฐมนตรีก็ต้องถวายรายงานเพื่อทรงวินิจฉัยแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ฝ่ายกองทัพจึงไม่มีหน้าที่และสิทธิที่จะผูกขาดการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ หลังจากการยึดอำนาจของทางกองทัพ ทหารก็ได้เขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นี้ ซึ่งได้เอื้อให้กองทัพมีบทบาททางการเมืองอย่างสูง ส่งผลให้โครงสร้างและเนื้อในของการเมืองการปกครองของราชอาณาจักรสยามในปัจจุบันนั้นเป็นประชาธิปไตยแบบกึ่งเดียว เกิดเป็นวิถีทางทางการเมืองแบบผสมระหว่างฝ่ายพลเมืองที่เล่นการเมืองเป็นอาชีพ กับทหารฝักใฝ่การเมือง
จากที่กล่าวมา นักการเมือง พรรคการเมือง และประชาชนพลเมืองปีกเสรีประชาธิปไตย จึงสมควรต้องปฏิเสธรูปแบบการเมืองลักษณะนี้โดยปริยาย แต่ก็มีกลุ่มการเมืองอ้างตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย และกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่า เป็นพวกแอนตี้ประชาธิปไตย หรือฝ่ายพวกสืบทอดอำนาจ (ทหารในการเมือง)
หลังจากจัดให้มีการเลือกตั้งผ่านไป สังคมการเมืองไทยก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงจากปมการเขียนรัฐธรรมนูญที่วุ่นวาย มีการยื่นตีความกันมากมาย เกิดความโกลาหล ถึงขนาดกระตุกต่อมระแวงของกลุ่มทหารที่คิดว่าตนเองนั้นนอนมา เพราะมีข่าวลืมที่ว่า พรรคการเมืองต่างๆ จะลืมความบาดหมางในอดีต และรวมตัวกันตั้งรัฐบาลทางเลือก เพื่อที่จะหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของฝ่ายทหาร (พรรคหลักเหล่านี้นั้นได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น)
ซึ่งหากดูที่ตัวเลขจำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็มีผลรวมเกินครึ่งหนึ่งของจำนวน สว. บวก สส. (750) ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
แต่ประเด็นปัญหาที่แท้จริงในการตั้งรัฐบาลผสมเพื่อขัดขวางการสืบทอดอำนาจของทหารนั้น มิได้อยู่ที่การรวบรวมจำนวนให้ได้เสียงข้างมาก หากแต่อยู่ที่สาระเนื้อหา และอุดมการณ์ของพรรคต่างๆ จะผสมผสานร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันต่างหาก
ปัญหา หรืออุปสรรคที่ค้างคาอยู่มาช้านาน ระหว่างกลุ่มพรรคการเมือง ที่ส่งผลให้เกิดการรวมตัวเพื่อขัดขวางการสืบทอดอำนาจฝ่ายทหารได้ยาก มีดังนี้
1. ประเด็น การให้ความช่วยเหลือ คุณทักษิณ และคุณยิ่งลักษณ์ ให้พ้นโทษ พ้นจากมลทินทั้งปวง2. ประเด็น ระบอบทักษิณทุนนิยมสามานย์ อันได้แก่ นโยบายประชานิยม นโยบายหาประโยชน์เข้าตนจากภาษีราษฎร (งบประมาณรัฐ) การใช้เสียงข้างมากเป็นเผด็จการรัฐสภา การใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อคุกคาม ข่มขู่ ไปจนถึงการตั้งข้อหา (เถื่อน) ต่อคู่ต่อสู้ทางการเมือง และผู้เห็นต่าง เป็นต้น3. ประเด็น พฤติกรรมที่สนับสนุนการเปลี่ยนรูปโฉมราชอาณาจักรไทย ให้เป็นสาธารณรัฐประเทศ เป็นต้น
เรื่องเหล่านี้ ไม่ได้เพิ่งจะมาถกกันเอาหลังจากการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 โดยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการพูดคุยกันระหว่างพรรคต่างๆ มาตลอด หากแต่ก็ไม่ได้มีความคืบหน้าใดๆ เกิดขึ้น
กล่าวโดยรวมได้ว่า ตราบใดที่พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่และพรรคเครือข่าย และขบวนการต่างๆ ยังคงผูกติดกับประเด็นช่วยเหลือคุณทักษิณ และยิ่งลักษณ์ กลับสู่ประเทศไทยอย่างปราศจากมลทิน (ซึ่งเป็นการสวนทางกับกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งหลักนิติรัฐและนิติธรรมและความชอบธรรม) แนวคิดการจัดตั้งรัฐบาลผสมฝ่ายพลเรือน เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของกองทัพ ก็จะไม่สามารถดำเนินการได้จริง
ฉะนั้น ถ้าจะให้การร่วมมือของฝ่ายไม่เอา “ทหารสืบทอดการเมือง” เคลื่อนไปข้างหน้าได้ พรรคทุกพรรคก็ต้องประกาศตัดขาดจากทักษิณ เป็นข้อผูกมัดต่อและเป็นสัญญาประชาคม ซึ่งเมื่อปัจจัยทักษิณหมดไป พรรคเพื่อไทย และพรรคเครือข่ายแนวร่วมก็จะเป็นตัวของตัวเอง และเมื่อนั้นการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมปีกเสรีประชาธิปไตย จึงจะเป็นจริงขึ้นมาได้
ในขณะเดียวกัน หากคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์เอง จะประกาศรามือจากการบ้านการเมืองของไทย ก็จะเป็น “ทาน” เป็นการทำบุญสุนทานให้กับประเทศบ้านเกิดอีกด้วย คุณทักษิณน่าจะตระหนักได้แล้วว่า เกมนี้จบแล้ว
ที่ผ่านมา คุณทักษิณ ได้จากประเทศไทยไปเยอะแล้ว หากจะเสียสละสักครั้งเพื่อประเทศบ้าง จะไม่ได้เชียวหรือ
ประเทศไทยสามารถล้มการสืบทอดอำนาจของทหารได้ ถ้าไม่มีประเด็นคุณทักษิณมาขวางทางการร่วมมือของพรรคการเมืองต่างๆ
และเมื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจระยะสั้นได้แล้ว บรรดารัฐบาลพลเรือนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ก็ต้องสามัคคีกัน เดินหน้าร่วมกันแก้ไขข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเสรีประชาธิปไตย รวมทั้งข้อที่เอื้ออำนวยให้บรรดา ทหาร เข้ามามีอิทธิพลเหนือรัฐสภา โดยอาจจะขอให้วงการวิชาการ และภาคประชาชน ช่วยกันยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับสาธารณชนขึ้นมาอีกทางหนึ่ง เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจระยะยาว
บรรดาทหาร จะได้กลับไปสู่กรมกอง ไปทำหน้าที่ที่แท้จริงของทหารเสียที ไม่ใช่มัวมาสาละวนกับการเมืองไม่รู้จบรู้สิ้น
เมื่อส่งทหารไปทำหน้าที่ของตนได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นประชาธิปไตยของประเทศไทยก็เดินหน้าไปได้แบบโล่งๆ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี