ความจริงการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภานั้นก็เป็นวิธีการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยชนิดหนึ่งที่หลายประเทศก็มีประพฤติปฏิบัติกัน และไม่มีใครที่จะไปตั้งฉายาให้ผิดเพี้ยนหรือเป็นเชิงลบแก่รัฐบาลเหล่านั้น
มามีเหตุขึ้นที่ประเทศไทยของเรานี่แหละ ที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็มีคนไปแก้ตัวในเรื่องที่ไม่ควรจะต้องแก้ตัวจนทำให้เกิดสมญานามใหม่ขึ้น นั่นคือทำให้สังคมที่นำโดยสื่อหลากหลายเรียกขานรัฐบาลใหม่ว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการประชาธิปไตย ซึ่งไม่รู้ว่ามีเหตุผลที่เห็นว่าดีงามที่ตรงไหน
ในขณะเดียวกันก็เปิดทางเปิดช่องให้กับการเยาะเย้ยถากถางของฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้าม จนเกิดเป็นกระแสและถูกเรียกขานว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการประชาธิปไตย ซึ่งคนที่ใช้แต่อารมณ์ก็กล่าวหาด่าว่าเอาตามใจของตน
เผด็จการกับประชาธิปไตยนั้นเป็นด้านสองด้านที่อยู่รวมกันได้ ดังเช่นระบอบการปกครองที่เรียกว่าประชาธิปไตยรวมศูนย์ ซึ่งด้านหนึ่งในช่วงระดมความคิดเห็นเพื่อแสวงหามติก็จะใช้วิธีประชาธิปไตย และเมื่อเป็นมติแล้วก็จะบังคับใช้มตินั้นอย่างเข้มงวด ไม่มีละเว้นให้กับใคร ความเข้มงวดนั้นก็เป็นลักษณะของเผด็จการอย่างหนึ่ง จึงเรียกว่าประชาธิปไตยรวมศูนย์
การบริหารการปกครองแบบประชาธิปไตยรวมศูนย์นี้ มีปรากฏชัดเจนในประเทศจีน ซึ่งวันนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่าได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศจีนจนกำลังจะล้ำหน้าสหรัฐไปแล้ว แม้สถาบันวิจัยในสหรัฐเองก็ยอมรับว่าประชาธิปไตยแบบส่งออกของสหรัฐนั้นกลับทำให้เกิดปัญหา และความขัดแย้งมากหลายขึ้นในโลก
ความจริงสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่คำใหม่ ดังที่กล่าวหากันตามกระแส แต่เป็นคำเก่า เป็นเรื่องเก่า ซึ่งราชบัณฑิตก็เคยกล่าวถึงว่าเป็นถ้อยคำที่ขัดแย้งกัน เพราะประชาธิปไตยก็เป็นอย่างหนึ่ง เผด็จการก็เป็นอย่างหนึ่ง
แต่ความขัดแย้งนั้นก็เป็นธรรมชาติของเอกภาพของความขัดแย้ง เพราะในท่ามกลางความเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่ได้เพราะมีความขัดแย้งดำรงอยู่แม่เหล็กอันมีพลังนั้นก็เพราะมีความขัดแย้งระหว่างขั้วบวกกับขั้วลบ ศาสนาทั้งหลายที่พระธรรมคำสอนได้รับการยอมรับนับถือก็เพราะมีความดีความชั่วดำรงอยู่ แม้ในลัทธิเต๋าก็ได้แสดงเอกภาพของ หยินหยางไว้อย่างลึกซึ้ง
ทว่าบริบทที่เกิดขึ้นในครั้งนี้หาได้เป็นไปตามหลักการปกครองและปรัชญาที่ว่านั้นไม่ แต่จะเกิดขึ้นเพราะความอวดรู้หรือความปรารถนาจะเอาใจใครก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะในบริบทที่ปรากฏเรื่องนี้ขึ้นนั้นเป็นการอับจนปัญญาที่จะชี้แจงแสดงเหตุผลว่าสถานการณ์ของบ้านเมืองประเทศไทยเป็นอย่างไร จึงได้อ้างว่าเป็นเผด็จการประชาธิปไตย และเป็นเหตุให้เกิดสมญาใหม่ให้กับรัฐบาลนี้
การกล่าวอ้างในบริบทเช่นนี้ถ้าหากพูดโดยภาษาธรรมดังที่พระมหาเถระอันเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของมหาชนก็จะสรุปได้ว่าเป็นการเอาขี้ผสมข้าว ซึ่งเป็นคำเตือนที่สำคัญให้แก่นักการเมืองมาก่อนหน้านี้แล้วว่าขี้นั้นเป็นที่รังเกียจ เป็นของปฏิกูล ในขณะที่ข้าวเป็นอาหารของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เอาขี้ไปผสมข้าวก็ไม่สามารถบริโภคได้และกลายเป็นสิ่งปฏิกูลไปด้วยกัน
ที่อุปมาไว้ฉันใด ก็อุปไมยไว้ฉันนั้น และวาทกรรมนี้จะกลายเป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่จะต้องมีภาระในการทำความจริงให้ปรากฏเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องโดยทั่วกัน บ้านเมืองจึงจะเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น
สถานการณ์ของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน และสภาพเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งมีเกิดขึ้นในประเทศไทยหลักฐานที่สำคัญก็คือวาทกรรมที่ว่า ประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือเผด็จการครึ่งใบ ก็เป็นวาทกรรมที่ใช้กันมานานนับทศวรรษแล้ว ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ยังไม่ฝ่าข้ามพ้นจากปัญหาความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ สภาพเช่นนี้จึงเกิดขึ้นซ้ำรอยย่ำเท้าอยู่ต่อไป
ประชาชนชาวไทยจึงต้องสามัคคีพร้อมใจกันในการขับเคลื่อนบ้านเมืองของเราให้ก้าวรุดหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ นั่นคือเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่สมบูรณ์
และอย่าได้พูดถึงแต่เฉพาะประชาธิปไตยที่จะมีผลต่อประชาชน จะต้องสอดส่องตรวจตราถึงการลิดรอนและบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ได้ขยับขับเคลื่อนมาเป็นเวลาร่วม 30 ปีแล้ว และโชคดีที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงหลังจากการลงประชามติ จึงได้บรรเทาผลร้ายอันเป็นพิษภัยของรัฐธรรมนูญนี้ไปได้บางส่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องต่อไป
อย่าลืมว่า 30 กว่าปีที่ผ่านมานี้ สิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นเรื่องที่โต้เถียงและถูกต่อต้านมานานมาก ก็คือระบบความคิดที่จะก่อตั้งระบบประธานาธิบดีขึ้นในประเทศไทย
มีความพยายามหลายครั้งหลายหนที่จะให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ซึ่งเป็นการเอาอำนาจทางการเมืองและอ้างอิงฐานประชาชนเพื่อขึ้นไปลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ความคิดเหล่านั้นถูกตีโต้และต้านทานอย่างรุนแรงจนต้องเลิกล้มไป
แม้กระนั้นความคิดที่ว่าจะต้องถือต้นแบบรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสและเยอรมันเป็นหลักของรัฐธรรมนูญไทยก็ยังคงดำรงอยู่ และในการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 นี้ก็ประสบความสำเร็จ คือได้แทรกซึมสิ่งที่เรียกว่า popular vote ไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งนี่คือรุ่งอรุณของการปูพื้นฐานของระบอบสาธารณรัฐนั่นเอง
สิ่งที่เรียกว่าความจงรักภักดีเป็นเรื่องที่พสกนิกรถวายไว้แด่เจ้าเหนือหัว ไม่ใช่ไปยกให้แก่นักการเมืองคนใด ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ได้เสมอๆ และนี่ก็คืออันตรายร้ายแรงที่ดำรงอยู่ในยุคสมัยเผด็จการประชาธิปไตย ซึ่งได้แต่หวังว่าจะมีการแก้ไขเรื่องนี้ในสักวันหนึ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี