ผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภาได้เสร็จสิ้นไปแล้ว โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 500 เสียง ซึ่งมาจาก สว.
249 เสียง และ สส. 251 เสียง เกินจำนวนครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียง 1 เสียง
จึงทำให้ฐานะของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในยามที่ คสช. และมาตรา 44 สิ้นสุดลงตกอยู่ในสภาพรัฐบาลปริ่มน้ำ
ในขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นพรรคใหม่เพิ่งตั้งไม่ถึงปีและยังไม่เคยมีผลงานทางการเมืองใดๆ ปรากฏให้เห็นได้รับการโหวตด้วยคะแนน 244 เสียง น้อยกว่าคะแนนเสียงจากสภาผู้แทนราษฎรของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียง 7 เสียงเท่านั้น
ความแตกต่างด้วยคะแนนเสียงเพียง 8 เสียงนี้จะทำให้บรรดากลุ่ม ก๊ก ก๊วน และพรรคการเมืองทั้งหลายที่ร่วมรัฐบาลมีอำนาจต่อรองสูงมาก คือกลุ่มใด ก๊กใด ก๊วนใด หรือพรรคใดที่สามารถรวบรวมเสียงได้เพียงแค่เกิน 4 เสียงเท่านั้นก็จะเกิดอำนาจเป็นดุลการเมืองที่จะทำให้การเมืองของประเทศพลิกผันได้อย่างง่ายดาย
เพราะเมื่อใดก็ตามที่คะแนนของฝ่ายรัฐบาลหายไป 4 เสียง ก็จะมีคะแนนเสียงเหลือ 247 เสียง และถ้าคะแนนเสียงที่หายไปนั้นไปโหวตให้กับฝ่ายค้านก็จะทำให้ฝ่ายค้านมีคะแนนเสียงถึง 248 เสียง และเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งอาจจะชนะทั้งในการนับองค์ประชุมหรือลงมติใดๆ หรือแม้กระทั่งในกฎหมายสำคัญ
โดยเฉพาะกฎหมายงบประมาณที่ถ้าหากนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลรวมตัวกันแค่ 4 คนเท่านั้น ก็จะเกิดอำนาจต่อรองในการที่จะเรียกร้องเอาโครงการต่างๆ จากรัฐบาล ซึ่งจะเป็นภาระอันหนักหน่วงให้แก่นายกรัฐมนตรี
และเหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งหลายหน จนต้องมีการยุบสภาบ้าง หรือต้องยึดอำนาจบ้าง เพราะเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อการเรียกร้องที่ไม่มีขอบเขตจำกัดและไม่มีที่สิ้นสุดของนักการเมืองแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็ไม่มีใครทนสภาพเช่นนั้นได้
เพราะถ้าไม่ยอมรับข้อเรียกร้อง รัฐบาลก็จะแพ้ในสภา แต่ถ้ายอมรับก็จะมีเรื่องไม่ชอบมาพากล ซึ่งหนีไม่พ้นจากข้อครหาเรื่องทุจริตและความไม่ถูกต้องชอบธรรมให้เป็นที่กล่าวหาคัดค้านของราษฎร ซึ่งถ้ายอมกันมากๆ รัฐบาลก็ไม่สามารถอยู่ได้
สภาพการณ์เช่นนี้จึงเป็นสามัญญผลอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 และเป็นเรื่องที่จะต้องทบทวนว่าการเตรียมการมากหลายในระยะเวลาที่ผ่านมานั้นได้ผลหรือไม่เพียงใด เพราะลงทุนลงแรงมากขนาดนี้ พรรคแกนหลักของรัฐบาลก็ได้คะแนนเสียงเพียงระดับ 110 เสียงเท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับพรรคอนาคตใหม่ที่เพิ่งตั้งมาแค่ไม่ถึงปี และถูกบดขยี้จากกระแสสังคมอย่างหนักหน่วงรุนแรง แต่กลับได้รับเลือกถึง 80 เสียง
การทบทวนและสรุปบทเรียนดังกล่าวจะเป็นทางแห่งการแก้ไขปัญหาทั้งปัจจุบันและอนาคต ซึ่งต้องถือว่ามีฐานะและนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความราบรื่นในการบริหารราชการแผ่นดินสืบไป
เมื่อผลการเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการนำชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี จากนั้นนายกรัฐมนตรีก็จะนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
และเป็นความรับผิดชอบอย่างเต็มเปี่ยมและเต็มที่ของนายกรัฐมนตรีต่อการกราบบังคมทูลเสนอแต่งตั้งนั้น เพราะเป็นผู้คัดเลือกคนสุดท้ายก่อนนำความขึ้นกราบบังคมทูล และต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการด้วย
และเป็นที่คาดหมายว่าประมาณกลางเดือนมิถุนายนนี้ ประเทศไทยก็น่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าบริหารราชการแผ่นดิน จากนั้นก็จะเป็นการแถลงนโยบายต่อสภา
ที่จะต้องจับตาอย่างใกล้ชิดก็คือการจัดทำบัญชีรายชื่อรัฐมนตรีที่จะประกอบขึ้นเป็นคณะรัฐมนตรีใหม่จะเป็นไปโดยราบรื่นหรือไม่ เพราะในขณะที่จำนวน
คณะรัฐมนตรีมีไม่มากนัก แต่กลับมีความต้องการที่จะดำรงตำแหน่งต่างๆ เกินกว่าจำนวนรัฐมนตรีที่จะมีได้ และยังมีความเรียกร้องต้องการที่จะเลือกเอากระทรวงที่
เรียกว่าเกรด A กันอย่างขนานใหญ่
ซึ่งจะต้องติดตามดูกันต่อไปว่า มาถึงชั้นการตั้งคณะรัฐมนตรีนั้นจะตกลงกันได้อย่างราบรื่นหรือไม่ และจะแก้ไขปัญหาให้กับผู้ที่ไม่ได้ตามความประสงค์หรือตามความต้องการอย่างไร
หากสามารถตกลงร่วมกันได้ทั้งหมดก็ยังคงเป็นรัฐบาลปริ่มน้ำที่ยังคงมีความเสี่ยงภัยอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากตกลงร่วมกันไม่ได้ทั้งหมด ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาขึ้นตั้งแต่ชั้นการฟอร์มคณะรัฐมนตรี
เพราะบางกลุ่มบางก๊ก บางก๊วน และบางพรรคก็ได้แย้มท่าทีให้เห็นแล้วว่าถ้าหากในชั้นจัดคณะรัฐมนตรีแล้วไม่ได้ดูแลกระทรวงหรือตำแหน่งตามที่ตกลงกันหรือตามที่ต้องการก็อาจจะมีการทบทวนการเข้าร่วมรัฐบาลอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดอันตรายอีกจุดหนึ่งที่จะต้องฝ่าข้ามไป
บทเรียนทางการเมืองสำหรับระยะที่ผ่านมานั้น แม้ประชาชนจะเบื่อหน่ายชิงชังประการใดต่อการเรียกร้องต่อรองทางการเมือง แต่ประชาชนก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมว่านักการเมืองแต่ละคนนั้นเชื่อถือไม่ได้ คำพูดจาเหมือนกับการผายลม เพราะไม่มีความรับผิดชอบใดๆ เนื่องจากพูดแล้วก็จะอ้างว่าต้องเป็นไปตามมติพรรค นั่นคือไม่รับผิดชอบในคำพูดของตนเอง
แม้มติพรรคก็ยังเชื่อถือไม่ได้ เพราะห้วงเวลาหนึ่งมติพรรคก็ว่าไปอย่างหนึ่ง พอล่วงพ้นเวลาไปหน่อยมติพรรคก็เป็นอีกอย่างหนึ่งอย่างหน้าตาเฉย แม้มีมติพรรคไปแล้วก็ยังแย้มพรายอยู่ว่ามติพรรคอาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
นี่แหละการเมืองประเทศไทย!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี