เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวที่เผยแพร่ทางสื่อมวลชนว่ามีชายไทย 2 รายได้กระทำอัตวินิบาตกรรมฆ่าตัวตายรายแรกเป็นชายเป็นทหารประจำการอายุ 26 ปี ได้กระโดดสะพานฆ่าตัวตายเพราะเป็นโรคซึมเศร้าเป็นระยะเวลา 3 ปีหลังหย่าขาดกับอดีตภรรยา รายที่ 2 เป็นชายเช่นกันอายุ 24 ปี ได้ใช้อาวุธปืนของบิดายิงตัวเองตายเพราะมีความกลุ้มใจที่เรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งมาเป็นเวลา 6 ปี แล้วแต่ยังเรียนไม่จบจึงได้คิดสั้นใช้ปืนยิงตัวตาย
กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุขได้เผยสถานการณ์ว่าคนไทยพยายามฆ่าตัวตายปีละถึง 53,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน ทำสำเร็จปีละ 4,000 คน ระบุปัญหานี้ป้องกันได้ด้วยพลังสังคมทุกภาคส่วนขอให้ช่วยกันอัดฉีดวัคซีน 3 ส.ป้องกันคือ สัมพันธ์ดี สื่อสารดี ใส่ใจกันสู่คนในครอบครัว พร้อมห่วงใยผู้ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบแบบ ควิก ควิก ชี้ความเคยชินอาจมีผลให้เป็นคนคิดแบบเร่งรีบ ขาดการยั้งคิด โอกาสตัดสินใจผิดพลาดในยามคับขัน มีได้สูง
นอกจากนี้ กรมสุขภาพจิตยังเผยว่าวันที่ 10 กันยายนทุกปีเป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลกในปีนี้ สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายนานาชาติได้เรียกร้องให้ทุกประเทศรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคม ร่วมมือกันเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย เนื่องจากเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันได้โดยทั่วโลกมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จปีละถึง 800,000 คนเฉลี่ย 1 คน ในทุกๆ 40 วินาที มากกว่าตายจากสงครามและถูกฆ่าตายรวมกัน
ร้อยละ 80 อยู่ในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าจะลดอัตราการเสียชีวิตลงร้อยละ 10 ภายในปี 2563 สำหรับประเทศไทย นักวิชาการได้ประมาณการว่าแต่ละปีมีผู้พยายามทำร้ายตัวเองเพื่อฆ่าตัวตาย 53,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน กระจายอยู่ทุกชุมชน ส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงาน ในปี 2559 มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จจำนวน 4,131 คน เป็นชายมากกว่าผู้หญิง 4 เท่าตัว อายุต่ำสุด 10 ปี สูงสุด 100 ปี ส่วนใหญ่ยังเป็นโสดไม่มีครอบครัว
สภาพวิถีชีวิตของคนไทยขณะนี้น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมืองซึ่งจะเริ่มคุ้นเคยกับการดำรงชีวิตแบบเร่งด่วน เร่งรีบ หรือที่เรียกว่าควิก ควิก ความเคยชินอาจจะมีผลทำให้มีรูปแบบความคิดแบบเร่งรีบอย่างไม่รู้ตัวตามไปด้วย มักจะบอกว่าไม่มีเวลา ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากไตร่ตรอง ไม่มีทางเลือกแล้ว เมื่อเผชิญกับแรงกดดันความเครียดต่างๆ ผู้ที่มีความคิดแบบนี้ อาจลงมือแก้ปัญหาแบบมุทะลุ หุนหันพลันแล่น มีโอกาสผิดพลาดได้สูง เพราะขาดการไตร่ตรองยั้งคิด
สังคมทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐคือกระทรวงสาธารณสุข ภาคประชาสังคมและภาคประชาชน ต้องร่วมมือป้องกันแก้ไขอย่างจริงจังซึ่งหลักฐานทางวิชาการยอมรับว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดโดยขอให้ร่วมมือกันอัดฉีดวัคซีน 3 ส. ป้องกันปัญหาฆ่าตัวตาย เริ่มจากครอบครัวซึ่งเป็นพลังสำคัญและอยู่ใกล้ปัญหาที่สุด ส.ที่ 1 คือ การมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน nect ) ไม่ห่างเหินและใกล้ชิดจนเกินไป ให้คนในครอบครัวเป็นตัวของตัวเอง มีบทบาทหน้าที่ชัดเจนในครอบครัว
ส.ที่ 2 ได้แก่ การสื่อสารที่ดีต่อกัน โดยบอกความรู้สึกตัวเองอย่างจริงจัง มีภาษาท่าทางที่เป็นมิตรต่อกัน เช่น สบตา ยิ้ม โอบกอด และการสัมผัส จะช่วยให้คนในครอบครัวเกิดพลังที่เข้มแข็ง ส.ที่ 3 คือใส่ใจรับฟัง คือมีเวลาให้คนในครอบครัว ทำกิจกรรมร่วมกัน และดูแลช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา ซึ่งจะทำให้ปัญหาการฆ่าตัวตายของประชาชนลดจำนวนลง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี