เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) มีการเสวนาเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำในมิติสาธารณสุข” โดยมีอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เป็นวิทยากรบรรยาย ซึ่งท่านได้ยกข้อเปรียบเทียบว่า หากดูตั้งแต่ปี 2539 จำนวนครัวเรือนที่เสี่ยงล้มละลายหากตนเองหรือสมาชิกในครอบครัวล้มป่วยไม่ได้ลดลง และจากการคำนวณก็คงไม่น่าจะลดลง
แต่ในปี 2545 เมื่อประเทศไทยมี “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” จำนวนครัวเรือนที่เสี่ยงล้มละลายก็ลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญ อนึ่ง แม้หากดูตามรายได้จะพบว่าคนจนได้ประโยชน์มากที่สุด แต่คนที่ไม่จนแต่ก็ยังไม่ใช่คนรวยซึ่งก็มีอยู่จำนวนมากก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย เพราะการมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทำให้คนไทยยังมีโอกาสรักษาเงินออมไว้ได้ และมีเงินไปจับจ่ายใช้สอยในเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นเช่นกัน
“มีคนแค่เปอร์เซ็นต์เดียวเท่านั้นที่ไม่ต้องไปกลัวเวลาเขาไม่สบาย เพราะมีสตางค์จ่ายเสมอ ความไม่เท่าเทียมมันต้องมองจากการได้รับการปกป้องดูแลไม่ให้ต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย ถ้ามองจากมุมนี้มีคนแค่ 1% เท่านั้นที่ไม่ต้องห่วง คุณไม่รวยพอคุณหมดตัวได้ไม่ยาก ยารักษาโรคอันล่าสุดที่เพิ่งประกาศในอเมริกา 2 ล้านเหรียญ ยาฉีด 1 เข็ม 1,000 เหรียญ เขาจะมาขายเมืองไทยเท่าไร?” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
คำถามต่อมาที่กลายเป็นข้อขัดแย้งเสมอในสังคมไทย “ควรยกเลิกจุดยืนประกันถ้วนหน้าหรือไม่?” ด้วยการหันไปใช้ “ระบบร่วมจ่าย” ด้วยความเป็นห่วงว่าการให้ทุกคนใช้บริการได้จะเป็นภาระทางการคลังคุณหมอสมศักดิ์ท่านอธิบายว่า “ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกับหลักคิดเสียก่อน” ซึ่งหลักคิดที่นำมาใช้ออกแบบนโยบายระบบหลักประกันสุขภาพ อาจแบ่งได้ 2 แนวทางใหญ่ คือ
1.แนวคิดแบบการประกันภัยดั้งเดิม หมายถึงการที่คนคนหนึ่งทำประกันไว้ล่วงหน้าเพื่อ “ลดภาระ” จากเหตุไม่คาดคิดต่างๆ เช่น การทำประกันภัยรถยนต์ หากรถหายบริษัทประกันจะจ่ายเงินก้อนหนึ่งให้สามารถนำไปซื้อรถคันใหม่ได้ ลดภาระที่จะต้องจ่ายเงินซื้อรถแบบเต็มราคา หรือการทำประกันอัคคีภัย เมื่อบ้านเกิดเพลิงไหม้ ก็ได้เงินก้อนหนึ่งมาใช้ซ่อมแซมบ้าน
2.แนวคิดการลดความเสี่ยง ซึ่งเมื่อนำมาใช้กับการออกแบบระบบประกันสุขภาพจะหมายถึง “ลดความเสี่ยงการล้มละลายจากการเจ็บป่วยราคาแพง” แนวคิดนี้แตกต่างจากแนวคิดเรื่องลดภาระ “สังคมมีหลายวิธีที่ทำให้คนคนหนึ่งไม่ต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย” เช่น รักษาฟรีทั้งหมดหรือรักษาแบบร่วมจ่าย และแม้แต่การร่วมจ่ายก็ยังมีประเด็นย่อยๆ ให้ถกเถียงกันถึงความเหมาะสม
“ผมเคยไปอยู่อเมริกาในฐานะลูกจ้างมหาวิทยาลัย เขาก็ตรวจสุขภาพให้ผม แต่ผมต้องร่วมจ่ายมากเลย แล้วเขาไม่สนใจด้วยนะ พูดง่ายๆ คุณร่วมจ่าย 20% ซึ่ง 20% อาจเป็นของเงิน 1 แสนบาทก็ได้ หรือของเงิน 10 ล้านบาทก็ได้ มันไม่เหมือนกันแน่นอน เอาเปอร์เซ็นต์มาป้องกันความเสี่ยงผมคิดว่าไม่ไหว ผมได้เงินเดือนเพียง 8,000 เหรียญ ตัวอย่างง่ายๆ แบบนี้ ประเด็นนี้อาจจะอยู่ในมุมที่เราคิดไม่เหมือนกัน คนจำนวนหนึ่งเห็นว่าหลักประกันสุขภาพเป็นสิทธิ ก็ให้ตามหลักฐานะ รวยก็จ่ายเยอะหน่อย จนก็รัฐบาลช่วย
แต่อีกประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงมากกว่าคือภายใต้ความพยายามปกป้องดูแลความเสี่ยงนี้ใช้ภาษีหรือเปล่า? แค่ไหน? อังกฤษนี่ชัดมากตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลชนะเลือกตั้งเพราะหาเสียงเรื่องนี้ เรื่องปกป้องคนอังกฤษจากความไม่เท่ากันในการเข้าถึงบริการ จะให้บริการฟรีโดยใช้เงินภาษี ที่อเมริกาสมัยประธานาธิบดีจอห์นสันเขาเถียงกันเรื่องนี้ มี 2 ทาง ทางหนึ่งไปแบบอังกฤษ พวกนี้แพ้ อีกทางก็ทำประกันสุขภาพนี่แหละ แต่เพื่อลดภาระก็ให้นายจ้างร่วมจ่าย ก็นำมาสู่ปัญหาปัจจุบัน คือพอไม่มีนายจ้างก็ซวย” นพ.สมศักดิ์ ยกตัวอย่าง
อดีต รมช.สธ. ท่านนี้ ยังกล่าวเรื่องระบบร่วมจ่ายที่สหรัฐอเมริกาอีกว่า “ถึงแม้มีนายจ้างใช่ว่าจะไม่ลำบาก” เห็นได้จากพฤติกรรม “คนอเมริกันมักมีนิสัยตรวจสอบใบเรียกเก็บเงินต่างๆ อย่างละเอียดเสมอ” ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ “ต้องดูว่าสิทธิการรักษาพยาบาลที่องค์กรต้นสังกัดของตนมีนั้นคืออะไร” เพื่อนำไป “ต่อรอง” กับต้นสังกัดว่าอะไรองค์กรต้องจ่ายและอะไรที่ลูกจ้างจ่ายเอง “ถ้าไม่ฉลาดก็จ่ายเองทั้งหมดคนเดียว” เนื่องจากระบบประกันสุขภาพในสหรัฐนั้นออกแบบให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาแต่ให้บริษัทประกันเป็นผู้ให้สิทธิ
ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยมี 2 ประเด็นให้พิจารณา 1.เชื่อเรื่องรัฐต้องเข้ามาสนับสนุนให้มากพอ ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดหรือไม่? ซึ่งคงไม่ต้องเถียงกันเพราะไทยใช้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามาสิบกว่าปีแล้ว กับ 2.ถ้าเชื่อแล้วรัฐจะมีปัญญาสนับสนุนให้เพียงพอหรือไม่? โดยส่วนตัวมองว่า “การจำกัดเพดานงบประมาณสุขภาพไว้ไม่เกินร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) น่าจะเหมาะสม” เพราะจะทำให้มีเวลาอีกยาวนานพอให้ออกแบบระบบร่วมจ่ายที่เป็นธรรมและไม่สามารถเพิ่มภาระกับประชาชนเกินไป แต่ไม่ใช่ร่วมจ่ายแบบไม่มีหลักการ
ประเด็นสุดท้าย “การแพทย์และสาธารณสุขควรเป็นบริการที่หากำไรได้สูงสุดเต็มที่หรือไม่?” จากข้อถกเถียงเรื่อง “การจัดระเบียบค่ายาและ
ค่าบริการต่างๆ ของโรงพยาบาลเอกชน” คุณหมอสมศักดิ์ ให้ความเห็นว่า “หากรัฐบาลวางระบบให้ดี เอกชนจะเป็นผู้ช่วยที่ดีมาก” กล่าวคือ“ต้องมีสมดุลระหว่างไม่กดราคาให้ต่ำเกินไปแต่ก็ไม่ใช่ปล่อยให้หากำไรกันตามใจชอบ” โรงพยาบาลจะไม่ขาดทุนแต่ก็จะมีกำไรเพียงระดับพอมีพอกิน แต่เรื่องนี้ก็เป็นข้อถกเถียงกันมากเช่นกัน เช่น “ในยุโรปธุรกิจการแพทย์ถูกกำกับไม่ให้รวยล้นฟ้าแบบในอเมริกา” เป็นต้น
ส่วนในประเทศไทย “เอกชนก็ไม่สนเพราะโรงพยาบาลเอกชนมีชาวต่างชาติและชาวไทยกระเป๋าหนักเป็นลูกค้า ส่วนรัฐก็ปล่อยไปเพราะยังมากดราคากับโรงพยาบาลของรัฐให้ถูกได้” นำมาสู่เรื่องเล่าค่าบริการของโรงพยาบาลเอกชนที่แพงจนบางครั้งถูกตั้งคำถามถึง “ความโปร่งใสในการตั้งราคา” นอกจากนี้การที่มีคำเตือนว่า “ถ้าคุมราคาระวังหุ้นตก” ซึ่งก็สะท้อนมุมมองบางอย่างเรื่องความเท่าเทียมได้!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี