ศาลพระภูมิหรือศาลเจ้าทั้งหลายมีความศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะแรงศรัทธานับถือของประชาชน แต่ศาลทั้งหลายนั้นทรงความศักดิ์สิทธิ์เพราะเหตุสองประการ คือ ศาลทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์โดยตรง และศาลเป็นสถาบันที่ประสาธน์ความยุติธรรมให้บังเกิดความสงบสุขร่มเย็นในบ้านเมือง
ศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นศาลหนึ่งในศาลทั้งหลายที่กระทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่ในการประสาธน์ความยุติธรรมตามอำนาจหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ
บัดนี้กำลังเกิดกรณีที่ท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของศาลรัฐธรรมนูญอันเกิดแต่กรณีเกี่ยวกับคุณสมบัติของ สส. หรือ สว. ซึ่งขณะนี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งเรื่องที่มีการร้องเรียนให้เพิกถอน สส. จำนวน 41 คน ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ดำเนินการไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติครบถ้วนถูกต้องทุกประการ
จึงเป็นที่กริ่งเกรงกันว่าในขณะที่รัฐบาลมีเสียงในสภาปริ่มน้ำ หาก สส. ฝ่ายรัฐบาลจำนวนถึง 41 คน หากถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่โดยบรรทัดฐานเดียวกันกับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แล้ว ก็จะเกิดวิกฤติทางการเมืองขึ้น
นี่ก็เป็นพิษภัยอย่างหนึ่งของการออกแบบและที่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 รวมทั้งกฎหมายเกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งด้วย ดังนั้นจึงเกิดกระแสทางโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวางว่า
การที่มีหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทอันเป็นแบบมาตรฐานที่ครอบจักรวาลว่ามีวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนนั้นไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติ แต่จะขาดคุณสมบัติก็ต่อเมื่อนิติบุคคลนั้นประกอบธุรกิจหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอยู่จริงๆ ในขณะที่มีการสมัคร สส. และเกิดกระแสด้วยว่าจะห้าม สส. ทำหน้าที่ไม่ได้
ซึ่งตรงกันข้ามกับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เกิดกระแสกดดันมาก่อนหน้านี้อย่างหนักหน่วงรุนแรงว่าต้องถือบรรทัดฐานที่ศาลฎีกาเคยตัดสินว่าการมีข้อความระบุในหนังสือบริคณห์สนธิว่าประกอบธุรกิจหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนแล้วต้องถือว่าขาดคุณสมบัติไม่ว่าจะประกอบกิจการจริงหรือไม่อย่างไร รวมทั้งกระแสกดดันว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ในทันทีที่ศาลรับคดีไว้พิจารณา
สภาพดังกล่าวจึงเป็นกระแสที่สวนทางกันในระยะเวลาเพียงไม่ถึงเดือน และกลายเป็นกระแสที่ขับเคลื่อนกดดันอย่างกว้างขวางรุนแรงขึ้นอีก
กระแสแบบนี้ท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของศาล จึงจำเป็นต้องแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของศาลให้ปรากฏและให้เข้าใจโดยทั่วกันสักครั้งหนึ่ง
ตามรัฐธรรมนูญที่มีมาทุกฉบับยืนยันหลักการเดียวกันว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยโดยสามทาง คือ ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล
แม้กระนั้น การใช้อำนาจอธิปไตยดังกล่าวก็แตกต่างกัน
การใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางรัฐสภานั้น พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายทั้งหลายที่รัฐสภาได้ถวายคำแนะนำ โดยมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบ
การใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางคณะรัฐมนตรีนั้น พระมหากษัตริย์ก็ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศหรือคำสั่งทั้งหลาย โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ และมีรัฐมนตรีคือนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และเป็นผู้รับผิดชอบ
แต่สำหรับการใช้อำนาจตุลาการทางศาลนั้น ศาลได้รับความไว้วางใจตลอดมาให้ทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ได้โดยตรง โดยพระมหากษัตริย์ไม่ต้องทรงลงพระปรมาภิไธยและไม่ต้องมีผู้ใดรับสนองพระบรมราชโองการ
ดังนั้นบรรดาหมายเรียกหรือคำสั่งเรียกหรือคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาทั้งหลายของศาลจึงมีคำประกาศอยู่ในหมายหรือคำสั่งหรือคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษานั้นๆ อย่างชัดเจนว่า “ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์”
ซึ่งศาลทั้งหลายรวมทั้งผู้พิพากษาตุลาการทั้งหลายล้วนเทิดทูนไว้เหนือเกล้าในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตยสุจริต ด้วยความบริสุทธิ์ และยุติธรรม ให้สมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์นั้น
เพราะเหตุนี้บรรดาคำสั่งหรือคำพิพากษาทั้งหลายของศาลจึงต้องมีบรรทัดฐานให้แก่การมีคำสั่งหรือคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาที่ต้องปฏิบัติทั่วถึงกันทั้งประเทศ
และเมื่อมีบรรทัดฐานแล้ว ใครก็จะเปลี่ยนแปลงเองตามใจชอบไม่ได้ ไม่ว่าผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นเอง ไม่ว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะหรืออธิบดีศาลทั้งหลายในทุกชั้นศาล ก็ไม่มีสิทธิ์และอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานนั้นได้โดยลำพัง
ในกรณีที่สถานการณ์ของบ้านเมืองและความเป็นจริงของประเทศเปลี่ยนแปลงไป และจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐาน จะกระทำได้โดยประธานศาลฎีกานำเรื่องนั้นเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาอันประกอบด้วย ผู้พิพากษาทั้งหมดของศาลฎีกา เพื่อร่วมกันพิจารณาวินิจฉัยและตัดสินว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานหรือไม่ และเมื่อเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานแล้วก็จะมีการแจ้งหรือลงพิมพ์ให้ผู้พิพากษาตุลาการและศาลทั้งหลายได้รับทราบและปฏิบัติโดยทั่วกัน จากนั้นไปก็จะถือบรรทัดฐานใหม่ตามมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานั้น
สำหรับกรณีเพิกถอนข้าราชการการเมืองออกจากตำแหน่งแต่ก่อนมาจนมาถึงคดีก่อนหน้านี้ คือ คดีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็มิได้มีการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกระทั่งมาถึงคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่
มาบัดนี้เมื่อคดี 41 สส. เข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว สส. ทั้ง 41 คน จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของศาลที่สำคัญยิ่ง!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี