การจัดสรรโควตารัฐมนตรีคาดว่าน่าจะลงตัวและถึงมือนายกฯ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดก็คาดว่ารัฐบาลประยุทธ์ 2 น่าจะพร้อมทำงานทันทีภายในเดือนก.ค. นี้ ในขณะที่การขยับในพรรคต่างๆ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านก็นับว่าเป็นพรรคพลังประชารัฐที่ได้แต้มบวก หากได้พล.อ.ประยุทธ์ มาคุมตำแหน่งหัวหน้าพรรคเอง พร้อมกับมือดีคู่ใจอย่างนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ มาเป็นเลขาธิการขณะที่พรรคหัวแถวฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทยยังคงมีทิศทางไม่แน่นอน ที่ยังต้องรอเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ส่วนพรรคอนาคตใหม่ ก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องคดีความต่างๆ ที่เข้ามาพัวพัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลมาจากความผิดพลาดส่วนบุคคลเอง แม้ตอนนี้คดีความจะยังไม่ถูกตัดสิน แต่ก็ส่งผลให้แกนนำพรรคบางคนกำลังหลบหายไปจากหน้าสื่อในช่วงนี้หรือไม่?
เส้นทางในการตั้ง ครม. รอบนี้ หลายฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่านายกรัฐมนตรีคงจะมีทางเลือกในการดำเนินการตั้ง ครม. อยู่ 3 ทาง ทางแรกคือ การตั้ง ครม. ก่อนการประชุมอาเซียน ซึ่งอาจดำเนินการให้มีการทูลเกล้าฯ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 23 มิ.ย.ได้หรือไม่? หรืออีกกรณีหนึ่งคือ การตั้ง ครม.หลังอาเซียน ภายหลังวันที่ 23 มิ.ย. ซึ่งไม่ว่านายกฯ จะเลือกวิธีการไหน เราก็น่าจะได้เห็นคณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเร็วที่สุดก็คือประมาณกลางเดือน ก.ค. ภายหลังการแถลงนโยบายตามกรอบภายใน 15 วันหลังการถวายสัตย์ปฏิญาณอยู่ดี ส่วนกระแสข่าวที่ปรากฏ น่าจะพอคาดการณ์ได้แล้วว่าการจัดสรรเก้าอี้ ครม. รอบนี้คงจะลงตัวแล้ว และในขณะนี้บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะอยู่ในขั้นตอนการร่างนโยบายร่วมกันอยู่ ซึ่งก็คงมีทั้งจุดร่วมที่แต่ละพรรคคุยกันลงตัวและข้อขัดแย้งบ้างตามปกติของการเป็นรัฐบาลร่วม โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจที่อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะบรรดากระทรวงเศรษฐกิจถูกแบ่งครึ่งไปให้พรรคร่วม โดยส่วนหนึ่งยังคงอยู่ภายใต้พรรคพลังประชารัฐ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงดีอี ในขณะที่บางกระทรวงตกอยู่แก่พรรคร่วม อันได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ และเกษตรฯภายใต้การคุมของพรรคประชาธิปัตย์ กระทรวงการท่องเที่ยวฯซึ่งบริหารโดยพรรคภูมิใจไทย
ดังนั้นจึงต้องมีการร้อยเรียงนโยบายเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ดูไม่น่าจะเป็นกังวลมากนักคือ นโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ดูจะไม่ต่างกันนัก โดยเฉพาะนโยบายการค้าและการเกษตรที่มีความใกล้เคียงกันมาก แต่อย่างไรก็ตามปัญหาที่น่าจะยังมีอยู่ คือ ประเด็นการใช้งบประมาณเพื่ออุดหนุนภาคเกษตรกร เนื่องจากอำนาจในการจัดสรรงบประมาณจะอยู่ที่นายกฯ ในขณะที่กระทรวงการคลัง ซึ่งดูแลเรื่องงบประมาณก็อยู่ในความดูแลของพรรคพลังประชารัฐ หากลองเปรียบเทียบการดำเนินนโยบายเรื่องข้าวระหว่างรัฐบาลสมัคร สมชาย และยิ่งลักษณ์ ซึ่งอาศัยกระทรวงพาณิชย์เป็นหลัก กับนโยบายข้าวในรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ใช้กระทรวงการคลัง เป็นฐาน แสดงให้เห็นว่างบประมาณด้านการเกษตรมีสิทธิเคลื่อนย้ายไปมาได้ขึ้นอยู่กับการร่างนโยบาย ยิ่งในครั้งนี้เมื่อทั้งสองกระทรวงไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารโดยพรรคเดียวกัน จึงน่าจะเป็นปัญหาต่อการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ว่าจะเป็นพรรคแกนนำหรือพรรคร่วมที่ได้งบประมาณก้อนใหญ่ไปดำเนินนโยบาย โดยกรณีนี้แม้นโยบายของพรรคร่วมจะมีความใกล้เคียงกัน แต่ก็ใช่ว่าการแบ่งสรรงบประมาณจะเป็นเรื่องง่ายตามไปด้วย
สำหรับการแบ่งสรรโควตาในฟากรัฐบาลที่ดูจะลงตัวแล้ว กลับมีบางสิ่งที่อาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับโครงสร้าง ครม. และสภาฯ ในอนาคตอย่างการปรับโครงสร้างของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตา โดยขณะนี้หากมองที่เสถียรภาพภายในของพรรคการเมืองต่างๆ ก็น่าจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ พรรคที่มีภายในค่อนข้างมีเสถียรภาพ ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และอนาคตใหม่ กับพรรคที่ดูจะยังขาดเสถียรภาพและอาจมีความเปลี่ยนแปลงภายในพรรคตามมา ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ เพื่อไทย และประชาธิปัตย์
ทางด้านพรรคพลังประชารัฐซึ่งน่าจะมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารพรรค ที่มีกระแสข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์อาจจะลงมาควบคุมด้วยตัวเอง? รวมถึงเลขาธิการพรรคที่จะมีการเปลี่ยนตัวนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่หลายคนเชื่อว่าการเปลี่ยนตัวในครั้งนี้น่าจะส่งสัญญาณบวกให้กับพรรค โดยเฉพาะในด้านความเป็นเอกภาพภายในพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นได้ยาก เพราะตัวหัวหน้าพรรคอย่างนายอุตตม และเลขาธิการพรรคอย่างนายสนธิรัตน์อาศัยการสนับสนุนจากกลุ่มสามมิตรเป็นหลัก จนทำให้เกิดปัญหาความแตกแยกอย่างในพรรคอย่างที่ผ่านมาหรือไม่? หากแต่เมื่อมีการเปลี่ยนเลขาธิการพรรคมาเป็นนายณัฏฐพล น่าจะทำให้การจัดการกับความขัดแย้งภายในพรรคเป็นไปโดยง่ายขึ้น? เพราะนายณัฏฐพลขึ้นชื่อว่าเป็นคนสนิทที่เป็นสายตรงพล.อ.ประยุทธ์ น่าจะช่วยให้การรับมือกับการแข็งข้อของ ส.ส. ในสถานการณ์ปัจจุบันของพรรคได้
นอกจากนี้นายณัฏฐพลยังเป็นอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย การเจรจาต่อรองกับพรรคร่วมจึงน่าจะไม่ยากนักเมื่อเทียบกับกลุ่มสามมิตร จึงพอจะเดาได้ว่า การปรับครม. รอบต่อไปซึ่งน่าจะเกิดขึ้นแน่นอนหลังจากนี้? น่าจะไม่เป็นเรื่องลำบากอีกต่อไปทั้งการเจรจาภายในพรรคและระหว่างพรรคร่วม ดังนั้นแล้ว ภายใต้โครงสร้างใหม่ของพรรคพลังประชารัฐ นี้ มีแนวโน้มที่จะทำให้พรรคมีความเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่อยู่ในระยะแรกเริ่มของการบริหารภายใต้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่ผ่านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรคในขั้นแรกมาแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่ยังต้องรับมือ โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งของสองขั้วภายในพรรคที่นับว่ายังไม่หมดไป แม้พรรคจะมีมติร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ แล้ว แต่เมื่อดำเนินมาถึงขั้นตอนต่อมาอย่างการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีก็พบว่าจากมติพรรคที่ออกมา มีบุคคลที่ได้รับการจัดสรรบางคนได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากแกนนำร่วมพรรคด้วยกันเอง หรือกรณีแกนนำพรรคบางคนที่หลุดโผออกจาก ครม. อาทิ นายกรณ์ นายพีระพันธ์ ที่ดูแล้วเหมือนจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปกติสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต้องมีการประชุมหารือและมีการลงมติในทุกๆครั้งที่มีการตัดสินครั้งสำคัญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาที่ประชาธิปัตย์กำลังเผชิญก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลไปยังการปรับ ครม. ของรัฐบาลในรอบต่อๆ ไป ซึ่งหากเกิดขึ้นก็ยังไม่มีอะไรคาดเดาได้ว่ารัฐมนตรีหลังการปรับ ครม. จะมาจากขั้วใดในพรรค
ในซีกฝ่ายค้าน พรรคพี่ใหญ่ในกลุ่มเพื่อนทักษิณอย่างเพื่อไทย เอง ก็กำลังเผชิญกับระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องมีการเลือกตัวหัวหน้าพรรคมาทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ หลังมีกระแสข่าวออกมาว่าพล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ จะเซ็นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคภายในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ พร้อมกับตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่จำนวนกว่า 29 ตำแหน่ง ซึ่งแน่นอนว่าหน้าตาของพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้จะไม่เหมือนเดิม และส่งผลต่อการกำหนดทิศทางและการเดินเกมของพรรคหลังจากนี้ สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถือเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์หลายฝ่าย จากภาพจำเดิมๆ ถึงความเป็นเอกภาพของพรรคเพื่อไทย ที่หลายๆ อย่างไม่จำเป็นต้องผ่านความเห็นของทุกฝ่ายในพรรค เพียงแต่นายทักษิณชี้ชัดลงมาเท่านั้น? หรือการที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้ คือสิ่งที่นายทักษิณ อยากให้เป็นอยู่แล้ว?
สำหรับพรรคอนาคตใหม่ แม้ภายในพรรคจะมีเสถียรภาพดี แต่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่ยังอ่อนประสบการณ์หรือไม่? แนวทางที่ปรากฏออกมาขณะนี้จึงดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการสานต่อบทบาทหลังการเลือกตั้ง สส. เพื่อสร้างรากฐานให้กับพรรค จากการเดินสายของนายธนาธรและนายปิยบุตร ผนวกกับประเด็นที่พรรคอนาคตใหม่กำลังผลักดันให้เป็นวาระสังคมในขณะนี้ อาทิ การแก้รัฐธรรมนูญ ด้วยการชูประเด็นเรื่องการประมง จึงทำให้เกิดกระแสข่าวว่าพรรคอนาคตใหม่อาจจะกำลังเพ่งเป้าไปที่การเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งหากอิงตามที่นายธนาธรได้ให้สัมภาษณ์ไว้ พรรคอนาคตใหม่ก็น่าจะกำลังเตรียมตัวที่จะลงแข่งในสนามท้องถิ่นในราวๆ 20 จังหวัด
อย่างไรก็ตาม แม้รูปการภายในพรรคจะค่อนข้างเสถียรเมื่อเทียบกับพรรคอื่น แต่พรรคอนาคตใหม่ก็ยังมีปัญหารุมเร้า โดยเฉพาะประเด็นเรื่องคดีความ และกรณีการถูกวิพากษ์วิจารณ์ของแกนนำคนสำคัญของพรรค ทั้งนายธนาธรนายปิยบุตรและนางสาวพรรณิการ์ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ชื่อของบุคคลทั้งสามมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวพรรค ดังนั้นแล้วหากขาดบุคคลใดไป ก็คงเป็นงานหนักของพรรค และคงมีผลกระทบไม่น้อยกับการเลือกตั้งรอบหน้า
“…คมดาบ ยิ่งฝนยิ่งคม มนุษย์ไยมิใช่เป็นเช่นกัน มนุษย์มากหลายในโลกนี้
ไยมิใช่เติบใหญ่ในท่ามกลางความปวดร้าวขมขื่น…”
โกวเล้ง จากเรื่องมังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี