ในยุคหลังๆ วิธีการเสริมสร้างคะแนนนิยมและฐานเสียงการเมืองของบรรดานักการเมือง มักง่าย ที่ทำได้อย่างสะดวกที่สุด ก็คือการนำเอาเงินภาษีราษฎรของทุกๆ คน ไปแจกจ่ายให้กับกลุ่มคนเป้าหมายหนึ่งใด (หรือจะหลายๆ กลุ่มก็ได้) เพื่อให้เป็นฐานคะแนนเสียงหลักของตน เสมือนเป็นการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สมบัติของส่วนรวม ไปให้กับเพียงแค่บางส่วนของสังคม เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เลือกที่รักมักที่ชัง สร้างความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรม อีกทั้งการลดแลกแจกแถมนี้เป็นเรื่องเฉพาะหน้า ประเดี๋ยวประด๋าว ขาดความต่อเนื่อง ไม่ยั่งยืน เพราะไม่ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนสภาพ รูปโฉม ให้ดีขึ้นอย่างแท้จริง
ซึ่งนักการเมือง พรรคการเมือง และคณะรัฐบาลหนึ่งใดที่มักง่ายเช่นนี้ ก็คงเพราะไร้ปัญญาจะบริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้า และรู้ตัวว่าไม่มีทางจะทำให้ประชาชนชมชอบตน ก็เลยพยายามเข็นเอานโยบายและมาตรการประชานิยมเหล่านี้ออกมาใช้กันอย่างไม่อายฟ้าอายดิน เพราะยังไงเสียก็ยังได้เสียง ได้คะแนนนิยม ความชื่นชอบเฉพาะหน้าผลลัพธ์จะส่งผลให้เสียหายอย่างไรต่อประเทศในระยะยาวนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปคำนึงถึง สุกเอาเผากินไปก่อน
แม้จะมีหลายๆ ประเทศ ที่ต่างวอดวายไปกับนโยบายและมาตรการประชานิยมเหล่านี้ แต่นักการเมืองทั้งหลาย ก็ยังคงไม่นำมาเป็นตัวอย่าง มาเป็นข้อควรระวัง ยังคงคิดสั้นๆ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ นอกจากนั้น ในหลายๆ กรณีก็ยังใช้นโยบายประชานิยมเป็นวาระซ่อนเร้น เพื่อดำเนินการโกงกินประเทศชาติซ้ำอีกต่อหนึ่งด้วย เท่ากับว่าประชาชนพลเมืองกลุ่มหนึ่ง กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ถูกนำมาอ้าง นำมาสะท้อนความห่วงใย เพื่อให้เกิดฐานเสียง โดยในที่สุดเป็นแค่เพียงกลไก เป็นเครื่องมือ เพื่อฉ้อฉลเงินตราแผ่นดินเข้ากระเป๋าผู้กุมอำนาจรัฐ ซึ่งแม้กลุ่มประชาชนเป้าหมายอาจจะได้ไปบ้าง แต่ก็ไม่เต็มจำนวน
ส่วนประเทศไทยเรานั้น ก็เผชิญกับนโยบายประชานิยมในรูปแบบต่างๆ มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว หนักที่สุดก็ช่วงรัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลหุ่นเชิดยิ่งลักษณ์ ผลกระทบเลวร้ายต่อสังคมไทยก็ได้รับมาเป็นระลอกๆ แต่ก็ไม่ตระหนักถึงความเลวร้ายกันแต่อย่างไร มาในยุครัฐบาลประยุทธ์จึงกล้าเอากลับมาใช้อย่างแพร่หลาย ภายใต้ชื่อใหม่ว่า นโยบายประชารัฐ ซึ่งก็ลดแลกแจกแถมไม่แพ้กัน
คิดเอาง่ายๆ ว่า ถ้านโยบายประชานิยมดีจริง ผ่านมาสิบกว่าปี ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยก็ควรจะลดลงได้แล้ว ชนชั้นกลางน่าจะขยายตัว และคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชาชนไทย ก็น่าจะดีขึ้น
แต่ ณ วันนี้ ประเทศไทยกลับได้รับการประเมินวิเคราะห์ว่าเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และคู่ขนานกันไป ประเทศไทยยังติดอันดับต้นๆ ในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งก็มีนัยว่า นโยบายประชานิยม กับการโกงกินบ้านเมืองนั้น มีความเกี่ยวโยงกัน เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องของการพยายามใช้งบประมาณ หรือภาษีของประชาชน อย่างมโหฬาร เพื่อหาเศษหาเลยกัน
ประชานิยมของระบอบทักษิณ นั้นเป็นเรื่อง “ทักษิณนำพา” กล่าวคือในตัว “ทักษิณ” และพวกพ้อง เป็นทั้งหัวหน้ารัฐบาล ผู้กำหนดนโยบายการใช้เงิน และยังเป็นเจ้าของกิจการธุรกิจ ที่รับผลประโยชน์จากนโยบายการใช้เงินของรัฐบาลทักษิณ
ส่วนประชานิยมภายใต้ชื่อ “ประชารัฐ” ของระบอบประยุทธ์ ต่างกันตรงที่ตัว “ประยุทธ์” เองนั้นไม่มีธุรกิจในมือ หากแต่มีการคบหาสมาคมกับกลุ่มธุรกิจครอบครัวยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากนโยบาย และโครงการประชารัฐต่างๆ ที่ดำเนินการโดยรัฐบาลประยุทธ์
ในกรณี “ทักษิณ” อาจจัดได้ว่า “ทักษิณ” เล่นแบบกินรวบ แต่ในกรณีของ “ประยุทธ์” เล่นแบบกินแบ่ง (ในกลุ่ม) แต่จากมุมมองจากสังคมแล้ว ต่างก็กินรวบคือๆ กัน
เมื่อเล่นกันแบบนี้แล้ว ปวงชนชาวไทย ซึ่งเป็นผู้จ่ายภาษีทั้งทางตรงทางอ้อม ผู้ร่วมเป็นเจ้าของงบประมาณรัฐทั้งหมด จะไปทำอะไรได้? ก่อนหน้าก็เจอกับประชาธิปไตยแบบเผด็จการเสียงข้างมากสไตล์ทักษิณ หลังจากนั้นก็มาเจอกับเผด็จการทหาร ภาคประชาสังคมก็เลยไม่ค่อยจะมีสุ้มเสียงใดๆ ได้มากนัก ยิ่งในวันนี้ชาวไทยกำลังจะเจอกับประชาธิปไตยกึ่งทหาร หรือเรียกอีกอย่างว่า ประชาธิปไตยกองทัพนำพา ซึ่งทั้งหมดต่างก็มีนโยบายที่มีรูปร่างหน้าตาจากฐานเดียวกัน เพราะต่างมีจิตใจมุ่งใช้กระบวนการประชานิยมสร้างฐานเสียงทั้งสิ้น
นอกจากนั้น เราชาวไทยต่างก็ได้เห็นพิษภัยของประชานิยมกันมาหลายหน แล้วยังจะมัวนั่งเฉยปล่อยให้นักการเมืองละเลงงบประมาณผ่านโครงการประชานิยมกันไปเรื่อยๆ หรือ?
อย่าลืมว่า งบประมาณมีไว้เพื่อ “สร้างคน”มิใช่มีไว้เพื่อ “ซื้อคน” งบประมาณต้องถูกใช้เพื่อให้คนสามารถเติบโต และยืนบนขาของตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี มิใช่ใช้เพื่อสร้างลัทธิแบบแบมือขอ
เมื่อฝากความหวังไว้ที่หัวหน้ารัฐบาลไม่ได้ จะฝากไว้ที่พรรคการเมืองก็ไม่ได้ ก็คงเหลือแต่ต้องอาศัยมือของประชาชนด้วยกันเอง ประสานกันเป็นภาคประชาชนที่แข็งแกร่ง จนสามารถควบคุมมิให้รัฐทำตามอำเภอใจ ใช้เงินงบประมาณไปกับการซื้อเสียงล่วงหน้าผ่านนโยบายประชานิยมต่างๆ
ในวันนี้ หากไม่อยากให้ประเทศไทยเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ พลังขั้วที่สามจะต้องเกิดขึ้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี