“ผมขอโทษที่ไม่ได้ทำตามที่ครูบอก ผมสงสารแม่ที่ต้องทำงานหาเงินอยู่คนเดียวถ้าผมไปเรียนก็ไม่มีใครช่วยแม่ผมขออนุญาตลาหยุดไปช่วยแม่เก็บลำไยผมไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเรียนอีกเมื่อไหร่ขอบคุณคุณครูที่ช่วยเหลือมาตลอด”
นี่คือประโยคจากจดหมายลาครูที่ ด.ช.พงษ์ศกร อาสาพิทักษ์ไพร หรือน้องแดง อายุ 13 ปี โรงเรียนบ้านนาเกียนอ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เขียนถึงคุณครูซึ่งมีความจำเป็นต้องลาออกไปหารายได้เป็นเสาหลักของครอบครัว
จดหมายฉบับนี้สะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ผมไม่ต้องบรรยายเพิ่มเติม
แต่ที่ต้องยกมาเขียนถึงก็คือว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมา ครม.รับทราบรายงานของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ และในหัวข้อหนึ่งคือ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งจัดตั้งขึ้นในรัฐบาลลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา นำเด็กๆ กลุ่มเสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษากลับสู่โรงเรียน
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ “จดหมายลาครู” โดยเฉพาะ
ในเรื่องนี้ นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุน กสศ. กล่าว ในวันจัดกิจกรรม “จดหมายลาครู” เมื่อวันอังคารที่ 18 มิถุนายน ที่สวนเฉลิมหล้า สะพานหัวช้าง กรุงเทพฯ ว่าปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กนักเรียนมากกว่า 2 ล้านคน ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวที่มีปัญหาความยากจนและมีความเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา โดยอุปสรรคสำคัญที่ทำให้นักเรียนไม่ไปโรงเรียนเช่น ความห่างไกลของสถานศึกษาไม่มีค่าเดินทางไม่มีค่าอาหารหรือมีความจำเป็นต้องออกไปทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว
เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำดังกล่าวในปีการศึกษา 2562 กสศ. ได้ขยายความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ในโครงการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขสำหรับนักเรียนทุนเสมอภาค ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีเด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดกรอง ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อขจัดอุปสรรคในการมาเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิม 510,000 คนในปีการศึกษาที่ผ่านมาเป็นประมาณ 800,000 คน
“สิ่งสำคัญยิ่งกว่าเงินอุดหนุนคือการเยี่ยมบ้านเพื่อค้นหา คัดกรองให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนที่สุดตามเกณฑ์ของ กสศ. โดยในปีนี้ จะเป็นการรวมพลังของคุณครูทั้ง 3 สังกัดกว่า 4 แสนคน ถือเป็นกลไกที่ช่วยให้การลดความเหลื่อมล้ำมีประสิทธิภาพเกิดผลยั่งยืนที่สุดและยังมีกระบวนการติดตามนักเรียนที่ได้รับเงินอุดหนุนอย่างใกล้ชิดได้แก่ 1.การรักษาอัตราการมาเรียนให้เกินกว่าร้อยละ 80 ตลอดปีการศึกษา 2.น้ำหนักส่วนสูง การมีพัฒนาการที่สมวัยตามเกณฑ์มาตรฐานเพื่อมั่นใจว่าเป็นการช่วยเหลือเด็กที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมในการส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษากับ กสศ. ได้หากพบเห็นเรื่องราวของเด็กๆ เหล่านี้สามารถแจ้งไปยังโรงเรียนหรือเขตพื้นที่การศึกษาในพื้นที่รวมถึงสายด่วนกสศ. 02-0795475 กด1” นพ.สุภกร ระบุ
นายสนิท แย้มเกสร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่าในปีการศึกษา 2561 สพฐ. และ กสศ. ร่วมมือกันสำรวจและคัดกรองนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์สามารถช่วยบรรเทาอุปสรรคปัญหาต่างๆ ในการไปเรียนเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของนักเรียนได้จำนวน 510,040 คน เงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไขของ กสศ. ยังช่วยให้รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนนักเรียนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15 ขณะที่โรงเรียนในพื้นที่ชนบทห่างไกลที่มีนักเรียนยากจนที่ได้รับจัดสรรช่วยเหลือเต็ม 100% จำนวน 388 โรงเรียนอย่างไรก็ตาม ในปีนี้ สพฐ. ได้กำชับให้เขตพื้นที่การศึกษาทุกจังหวัดสถานศึกษาและคุณครูทั่วประเทศ ให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและคัดกรองเด็กที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ เพื่อไม่ให้มีใครต้องตกหล่นอีกต่อไปเนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ายังมีนักเรียนกว่า 1 แสนคน ที่น่าจะเข้าข่ายได้รับเงินอุดหนุนแต่ไม่ได้รับโอกาสนี้
เมื่อเราเห็นปัญหาที่เด็กยากจนกำลังเผชิญอยู่นั้นทุกฝ่ายต้องไม่รอช้าผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวร่วมคัดกรองเด็กยากจนและอุดหนุนทุนต่างๆ เพื่อเข้าไปช่วยเติมเต็มเรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัวอันจะเป็นกำลังใจให้ผู้ปกครองช่วยสนับสนุนให้บุตรหลานไปเรียนหนังสือต่อจนถึงฝั่งฝันที่วาดไว้ได้อย่างสมบูรณ์ต่อไป
ครับ จดหมายลาครูฉบับนี้ คงช่วยกระตุ้นให้ทุกฝ่าย ร่วมผลักดัน สนับสนุนให้นักเรียนไทยได้มีโอกาสเรียนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันอย่างทั่วหน้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี