เมื่อเสาร์ที่แล้ว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)จัดเสวนาเรื่อง “มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจการเมืองไทย :กับดักหรือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ รศ.ดร.อภิชาติ สถิตนิรามัย อาจารย์เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยอ้างอิงนิยาม “ทศวรรษที่สาบสูญ (The Lost Decade)” จากภูมิภาคลาตินอเมริกาในยุคทศวรรษ 1980s (ปี 2523-2532) ซึ่งก็มาเกิดในสังคมไทยเช่นกันแต่เป็นช่วง 10 ปีล่าสุดคือ
1.เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลง จากปี 2529-2539ไทยเคยเติบโตร้อยละ 9 ต่อปี ปัจจุบันเหลือร้อยละ 3 ต่อปีและเติบโตน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจคล้ายกัน เมื่อแยกเป็นรายภาคเศรษฐกิจ“ภาคอุตสาหกรรม-ภาคบริการ” ช่วงปี 2529-2539 โตร้อยละ 12 และร้อยละ 9 ต่อปีตามลำดับ แต่ในปี 2543-2550 สัดส่วนการเติบโตต่อปีของทั้ง 2 ภาคหายไปครึ่งหนึ่ง และในปี 2553-2558 ภาคอุตสาหกรรมโตเพียงร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนภาคบริการโตที่ร้อยละ 5 ต่อปี
“ทำไมอุตสาหกรรมโตช้าลง เพราะเราสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เพราะอุตสาหกรรมของเรามันประกอบด้วยสินค้าโลว์เทค ใช้ของถูกที่มันมีอยู่ที่ผ่านมาซึ่งมันหมดไปแล้วก็คือแรงงานและทรัพยากรธรรมชาติราคาถูก ซึ่งคิดเป็น 20% ของสินค้าส่งออกของเรา ดังนั้นเมื่อค่าแรงของเราแพงขึ้น เพื่อนบ้านเข้าสู่การแข่งขันมากขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติก็หมดลง ภาคอุตสาหกรรมเราจึงสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อุตสาหกรรมเติบโตช้าตำแหน่งงานก็เติบโตช้าความสามารถในการดึงแรงงานออกจากภาคเกษตรก็ช้าไปด้วย”อาจารย์อภิชาติ กล่าว
นักเศรษฐศาสตร์จาก มธ. ผู้นี้ กล่าวต่อไปว่า “ร้อยละ 30 ของแรงงานไทยยังอยู่ในภาคเกษตร ทั้งที่ภาคเกษตรมีผลผลิต (Productivity) น้อยกว่าภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ” ดังนั้นการที่คนไหลออกจากภาคเกษตรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมที่มีรายได้มากกว่าช้า รายได้ของคนไทยโดยรวมก็โตช้าลงไปด้วย 2.การลงทุนในไทยลดลง ภาคเอกชนไทยเคยลงทุนมากถึงร้อยละ 30 ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 แต่หลังจากนั้นก็ลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 30 ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็ไม่เลือกที่จะมาไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และภาครัฐก็ลงทุนน้อยลงเช่นกันจากวิกฤติทางการเมือง
ทั้งนี้ไม่ใช่ไม่มีเงิน ตรงกันข้าม “ประเทศไทยมีเงินออมจำนวนมาก แต่การเปลี่ยนไปของโครงสร้างอุตสาหกรรมทำให้แม้นักลงทุนไทยจะมีเงินแต่ไม่มีช่องทางลงทุน” อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถนน ท่าเรือ ฯลฯ ไม่ค่อยได้ซ่อม คุณภาพก็ลดลง เช่น ในปี 2549 โครงสร้างพื้นฐานของไทยค่อนข้างดีกว่าประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจคล้ายกัน ยิ่งไปดูปัจจัยอื่นๆ อาทิ ความสามารถในการสร้างนวัตกรรม กฎกติกาต่างๆ จากเดิมไทยได้เปรียบ แต่ตอนนี้กำลังถูกไล่ตามหลังมาติดๆ
“ถ้าเราโตปีละ 3% เราจะใช้เวลา 20 ปี (ปี 2582)จากประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูงเป็นประเทศรายได้สูงแต่ถ้าเราโตปีละ 5% เราจะเป็นประเทศรายได้สูงในปี 2575แต่เราน่าจะไปไม่ถึงเพราะอัตราการแก่ลง สังคมสูงวัย (Aging Society) มันรุนแรงมาก เราจะมีประชากรมากกว่า 30% ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ภายในเวลาไม่ถึง10 ปีข้างหน้า ก็แปลว่าไทยจะกลายเป็นสังคมที่แก่ก่อนรวย”อาจารย์อภิชาติ ระบุ
คำถามต่อมา “อะไรจะเกิดขึ้นอีกถ้าเศรษฐกิจโตช้าลง?” คำตอบคือ “จำนวนคนรายได้น้อยก็จะลดลงช้าไปด้วย” ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบ คือ คนจน7 ล้านคน และคนเกือบจนอีก 6.7 ล้านคน 3.คุณภาพคนก็มีไม่เต็มที่ เช่น ตามดัชนี HCI หากจัดสรรทรัพยากรได้ตามมาตรฐานให้เด็กคนหนึ่ง เด็กไทยมีโอกาสร้อยละ 60 ที่จะบรรลุศักยภาพได้เต็มที่ ซ้ำร้าย ยัง“ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)” อีกต่างหาก ทั้งที่ละแวกนี้นอกจากสิงคโปร์แล้วชาติอื่นๆ ก็ไม่ได้ร่ำรวยกว่าไทยมากมายแต่อย่างใด
อาจารย์อภิชาติ ยกตัวอย่างการสอบ PISA ที่วัดคุณภาพการศึกษาของเด็กอายุ 15 ปี ในประเทศต่างๆในปี 2555 พบว่า “เด็กไทยร้อยละ 32 อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ในทางปฏิบัติ” ขณะเดียวกัน “ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กไทยจะเริ่มเพิ่มขึ้นในชั้นมัธยม และยิ่งมากขึ้นในระดับอุดมศึกษา” ยังไม่ต้องนับเรื่อง “คุณภาพ” ระหว่างโรงเรียนต่างๆ ที่สอน
ในระดับชั้นเดียวกัน
4.สุขภาพก็มีปัญหา แน่นอนการที่คนไทยโดยรวมมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าในอดีต โรคติดเชื้อต่างๆ ก็ลดลงไป แต่ “พบโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพิ่มขึ้น” เช่น เบาหวาน ความดัน รวมถึง “อุบัติเหตุบนท้องถนน” ที่ทำให้เมื่อคำนวณออกมาจะพบว่ามีคนไทยร้อยละ 85 ที่จะมีอายุถึง 60 ปี น้อยกว่าค่าเฉลี่ยกลางของกลุ่มประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจคล้ายกัน ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 86.2 และ 5.คุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ กับคนต่างจังหวัดยังมีช่องว่างห่างกันมาก กรุงเทพฯ มีทุกอย่าง ส่วนจังหวัดอื่นๆ ก็ลดหลั่นลงไปตามลำดับ
และที่มีปัญหามากที่สุดคือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส) “ไม่ต้องเถียงกันว่าประเทศไทยเหลื่อมล้ำที่สุดในโลกหรือไม่ เพราะอย่างไรก็อยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน” อนึ่ง มีผลสำรวจน่าสนใจว่า “คนไทยมองอนาคตในแง่ร้ายเสียยิ่งกว่าคนในประเทศที่ยากจนกว่า” เช่น กัมพูชา เมียนมา ลาว นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ที่คนรวยที่สุดร้อยละ 1 เติบโตทิ้งห่างคนกลุ่มอื่นๆ ในขณะที่คนชั้นกลางค่อนล่างรายได้สูงขึ้นจนค่อยๆ ไล่ตามคนชั้นกลางค่อนบนมาใกล้ “คนชั้นกลางบนถูกบีบทั้งทางด้านบนและด้านล่าง” จึงรู้สึก “ไม่มั่นคง” ไปด้วย
“เราถามไปว่า 1.ปัจจุบันท่านและครอบครัวของท่านมั่นคงไหม 2.ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ท่านคิดว่าจะมีความมั่นคงไหม 3.ท่านคิดว่าบุตรหลานจะมีความมั่นคงไหมคนส่วนใหญ่ที่มีฐานะเป็นชนชั้นกลางระดับบนในกรุงเทพฯตอบว่าไม่มั่นคง และคนกลุ่มนี้มักจะชอบว่า “ใช่” ในคำถามที่ว่า “ในบางสถานการณ์การใช้ระบอบเผด็จการให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า” เพราะอะไรครับ แปลว่าคนที่ไม่ยึดมั่น
ในประชาธิปไตย 100% ก็คือคนที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มั่นคงในปัจจุบันและในอนาคต
แล้วคนพวกนี้เป็นคนที่ฐานะค่อนข้างดี นี่คือวิถีชีวิตของคนที่ตอบว่าชีวิตตัวเองไม่มั่นคง เช่น ไปเที่ยวห้างหรูๆไปต่างประเทศบ่อยๆ อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้เป็นเล่มๆมีบัตรเครดิตไม่ใช่บัตรผ่อนสินค้า เป็นต้น นี่คือคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มั่นคงแล้วก็หันไปหาระบอบอำนาจนิยมแล้วคนพวกนี้มาอย่างไร ผมคิดว่ามันไปตามปรากฏการณ์ทั่วโลกที่โลกมันหันขวาเพราะความท้าทายจากโลกาภิวัตน์เช่น เศรษฐกิจโตช้า” อาจารย์อภิชาติ ฝากประเด็นน่าคิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี