l การสรุปประเมินผล หากถูกต้องใกล้เคียงความจริง ทำให้ “แต่ละฝ่ายนำไปพัฒนากำลังของตนได้จริง”
*** การเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 มิใช่เหตุการณ์และสถานการณ์ปกติ อย่างที่เคยเป็นมา
l ดู “ไทม์ไลน์” สำคัญที่ก่อเหตุการณ์พิเศษใหญ่ ที่ส่งผลสะเทือนต่อผลการเลือกตั้งทั้งประเทศ
- คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ 5 ตุลาคม 2558 โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานมีการออกแบบการลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ เรียกว่า “จัดสรรปันส่วนผสม” ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ใช้เลือกตั้งทั้ง สส.แบ่งเขต และระบบบัญชีรายชื่อ ระบบนี้ทำให้คะแนนไม่ตกหล่น นำทุกคะแนนมาคำนวณ สส. และไม่ผูกขาดเฉพาะพรรคการเมืองใหญ่ทำให้เกิด “สูตรการเลือกตั้งพิเศษ” ที่หลายพรรคไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นไปตามเจตนาของรัฐธรรมนูญ 2560
บทเฉพาะกาล : กำหนดให้มีวุฒิสภา 250 (จากการแต่งตั้งโดย คสช.) เป็นผู้ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี
- การออกเสียงประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 พร้อมคำถามพ่วง (บทเฉพาะกาล 5 ปี) นายกรัฐมนตรีต้องได้เสียงโหวตจาก ทั้ง สส. 500 คน และ สว. ที่มาจาก คสช. แต่งตั้ง 250 คน รวมกัน
ผลการลงประชามติ เสียงส่วนใหญ่ 16.8 ล้านเสียงรับรัฐธรรมนูญนี้ อีก 10.5 ล้านเสียง ไม่รับ
- พรรคเพื่อไทย แก้เกม ด้วยการแตกพรรค แยกสมาชิกบางส่วนไปเป็น พรรคไทยรักษาชาติ
- เช้าวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 พรรคไทยรักษาชาติ (ทักษิณ) เดินหมากการเมืองพลาดครั้งสำคัญ ด้วยการเสนอพระนาม ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นแคนดิเดต
นายกรัฐมนตรีหนึ่งเดียวของพรรค
- 8 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 22.40 น. มีประกาศพระราชโองการ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ คือ พระราชวงศ์อยู่เหนือการเมือง = ทูลกระหม่อมหญิงจะไม่สามารถเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
- 7 มีนาคม 2562 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคไทยรักษาชาติ พร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง จดทะเบียนจัดตั้งพรรคใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองเป็นเวลา 10 ปี
- คืนวันที่ 23 มีนาคม 2562 มีการเผยแพร่ประกาศสำนักพระราชวัง ความโดยสรุปว่า :
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบรมราชชนกที่ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
- ผู้นำพรรคไทยรักษาชาติบางคน เชิญชวนให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตตนเลือกผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่แทน
- พรรคอนาคตใหม่ ทุ่มทุนก้อนใหญ่ จัดจ้างทีมไซเบอร์ ทั้งในและต่างประเทศ รณรงค์การเลือกตั้งฯ
- พรรคประชาธิปัตย์ แก้เกม โดยหัวหน้าพรรค ประกาศ หากพรรคไม่ได้เสียงถึง 100 คน จะลาออกและประกาศจุดยืน เป็นขั้วที่สาม : พรรคฝ่ายค้านอิสระ เพื่อพลิกสถานการณ์ ที่ตกเป็นฝ่ายรับมาตลอด แต่พลิกผัน : การประกาศจุดยืน ไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย และไม่หนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ ถูกวิเคราะห์ว่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คะแนนนิยมหล่นหายอย่างคิดไม่ถึง
l ใครได้ ใครเสีย : ใครทำอะไร และไม่ได้ทำอะไร : จากผลการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์พลิกโฉม
l 1) ใครได้ ??? ทั้งตัวเองวิกฤติที่แปรเป็นโอกาส และแนวร่วมมุมกลับที่พลิกผันขนาดใหญ่
- พรรคอนาคตใหม่ : ได้ สส. รวม 81 คน(31 + 50) 6,330,617 = 17.80%
ถือเป็นการพลิกล็อกครั้งใหญ่ โดยมีปัจจัยทั้งเปิดเผย และปิดลับ ทั้งการสร้างกระแสที่จุดติดขายได้ และการหนุนเทคะแนนของพรรคไทยรักษาชาติให้ ในเขตชนบทการใช้ทุนมหาศาล ทั้งการออกทุนเองของหัวหน้าพรรค และทุนสนับสนุนก้อนใหญ่จาก ???
พรรคอนาคตใหม่ ยังอยู่ในฐานะ “พรรคเฉพาะกิจ” ต้องปรับใหญ่ ซึ่งไม่ง่ายนัก เพราะขาดประสบการณ์
- พรรคพลังประชารัฐ : ได้ สส. รวม 115 คน (97 + 18), 8,441,274 = 23.74%
ปัจจัยสำคัญ คือ การวางแผนทั้งรุกและรับอย่างดี โดยเฉพาะตัวพลเอกประยุทธ์การดึง “ผู้นำสำคัญของพรรคเพื่อไทย” ออกมาอยู่ร่วมกับพรรค ปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การได้คะแนนเทจากประชาชน, บางพรรค จากเหตุการณ์ 8 ก.พ. 2562
2) ใครเสีย ??? คือ ได้น้อยกว่าที่คาดคิด เพราะไม่สามารถสร้างจุดขาย และคิดผิดใหญ่
- พรรคเพื่อไทย : ได้ สส.เขต 136 คน 7,881,006 = 22.16%
หากวิเคราะห์เจาะลึกจริงๆ แล้ว พรรคเพื่อไทย ยังเป็นพรรคที่มีพลังครบถ้วน : น่าหวั่นเกรงที่สุด ทั้ง “ทุนใหญ่” + สื่อ + มวลชนพื้นฐาน + การทำงานต่อเนื่อง + สส. ในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ โดยหากรวมคะแนนในเครือข่ายของทักษิณที่แตกไปยังพรรคต่างๆ รวมคะแนนเสียง ร่วม 200 และหาก “ไม่พลาดใหญ่” ติดๆ กัน ในช่วงก่อนเรื่องตั้ง เสียงมีโอกาสได้มากกว่า 250 เสียง
- พรรคประชาธิปัตย์ : ได้ สส. รวม 53 คน (33 + 20) 3,959,358 = 11.13% พลังและกำลังของพรรค เริ่มปรับตัวลดลง แต่ก็มีฐานสมาชิกและความนิยมพอสมควรเป็นการเพลี่ยงพล้ำ ต่อสถานการณ์ใหญ่ที่ไม่ปกติ และทางพรรคไม่มีจุดขายที่เด่นมากพอการตัดสินใจของ นายอภิสิทธิ์ (ชวน บัญญัติ และสายอนุรักษ์) เป็นความพยายามสร้างโอกาสแต่ไม่มีพลังพอที่จะพลิกผัน ให้มากกว่านี้ได้ ไม่ว่าจะเสนอประเด็นขั้วที่สาม หรือไม่ก็ตาม
- พรรครวมพลังประชาชาติไทย : ได้ สส. รวม 5 คน (1 + 4) 415,585 = 1.17%
กำลังพื้นฐานของ มวลชนเรือนล้าน ที่เคยร่วมกัน ใน กปปส.แยกกระจายไป พรรคต่างๆ การถูกโจมตี และทำลาย จากอีกฝ่ายและพรรคที่เคยร่วมมา : กระหน่ำแรง อย่างต่อเนื่อง เป็นระบบการใช้ทุนมหาศาล และพลังของพรรคฝ่ายต่างๆ ที่ช่วงชิงขับเคี่ยวกันขนาดใหญ่ มีผลกระทบสูงรวมทั้งพรรค ไม่สามารถสร้าง “จุดขายได้” ในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องเลือก “ผู้ชนะ” เท่านั้น แต่เรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ คือ “งานหลักสำเร็จ” แต่ “งานเล็กของตน พ่ายอย่างหมดรูป”
l โดยสรุป : เรื่องราวที่เกิดขึ้น ในการเลือกตั้ง ครั้งประวัติศาสตร์นี้
กลเกมการเมือง : ที่ใช้ทุนมหาศาล + สื่อเครือข่ายใหญ่ +สส.เก่า ติดพื้นที่+แกนนำและมวลชนอุปถัมภ์ในพื้นที่เป็นปัจจัยหลัก : การได้มาซึ่ง สส.เสียงข้างมาก ที่ระบบการเลือกตั้ง ไม่สุจริตเที่ยงธรรม เหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมเป็นเกมการต่อสู้ทางการเมือง ระหว่าง “ทุนสื่อ พรรคการเมือง อำนาจรัฐ ระบบราชการ” ประชาชนไม่เกี่ยว จึงไม่สามารถแก้วิกฤติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมฯ ได้อย่างเป็นจริง ทางรัฐบาล รัฐสภา และศาลฯ ต้องร่วมมือกันปฏิรูป “ระบบการเข้าสู่อำนาจรัฐใหม่” อย่างเด็ดขาดทันกาล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี