คดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร ไม่ได้มีการตรวจสอบกันเฉพาะคดีของนายวัฒนา เมืองสุข
1. ป.ป.ช. เคยแจ้งข้อกล่าวหา ไต่สวน และพิจารณาคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทรในหลายโครงการ โดยแต่ละกรณีก็จะมีประเด็นข้อกล่าวหาการ
กระทำความผิดแตกต่างกันออกไป
ยกตัวอย่าง (สืบค้นจากเว็บไซต์ ป.ป.ช.)
เลขคดีดำที่ : 02-2-474/2557 เลขคดีแดงที่ : 252-2-0/2558
ผู้ถูกกล่าวหา ได้แก่ 1.นางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติและคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการบ้านเอื้ออาทร 2.นายคุโณดม ธรรมาภรณ์พิลาศ 3.นายสมชาย ชิโนดม 4.นางวรานุช หงสประภาส 5.นายอำนาจ โชติชัย 6.นายสรวุฒิ ตังกาพล ในฐานะคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการบ้านเอื้ออาทร 7.นายพรศักดิ์ บุญโยดม ผู้ว่าการ กคช. 8.นายวิศิษฐ์ วงศ์มาศา รองผู้ว่าการ กคช.
เรื่องที่ถูกกล่าวหา :กรณีอนุมัติให้จัดซื้อที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรหาดใหญ่ (การนิคมอุตสาหกรรมฉลุง) จังหวัดสงขลา ในราคาที่สูงเกินจริง
พฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิด (โดยสรุป) :ทุจริตต่อหน้าที่ ละเว้นไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอขายโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยอนุมัติให้มีการจัดซื้อที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรหาดใหญ่ (การนิคมอุตสาหกรรมฉลุง) จังหวัดสงขลา ในราคาสูงเกินจริง ทำให้การเคหะแห่งชาติได้รับความเสียหาย
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. : (ข้อกล่าวหาตกไป)
ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริง ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่า นางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการบ้านเอื้ออาทร กับพวก รวม 6 คน ได้อนุมัติให้จัดซื้อที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรหาดใหญ่ (การนิคมอุตสาหกรรมฉลุง) จังหวัดสงขลา ในราคาที่สูงเกินจริง ตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
2. คดีทุจริตสินบนบ้านเอื้ออาทร ที่มีนายวัฒนา เมืองสุข นักการเมืองชื่อดัง อดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ระหว่างวันที่ 2 ส.ค. 2548-19 ก.ย. 2549) ตกเป็นจำเลยร่วมกับ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย, นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ กรรมการ กคช. และประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการ กับพวก อันรวมไปถึงนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร (เสี่ยเปี๋ยง) บริษัทค้าข้าว และบริวารทั้งหลายเหล่านี้นั้น มีประเด็นของคดีแตกต่างออกไป
ไม่ใช่เรื่องทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง แต่เป็นประเด็นเรียกรับสินบน
3. นายวัฒนา เมืองสุข ปฏิเสธ ตลอดข้อหา
อ้างว่า “...ผลการไต่สวนของ ป.ป.ช. ไม่ปรากฏว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและ กคช. ไม่ได้รับความเสียหาย มีแต่ได้รับประโยชน์ ไม่มีหลักฐานหรือเส้นทางการทุจริตเกิดขึ้นในโครงการและไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐรวมถึงผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์ตามข้อกล่าวหา...”
ทั้งยืนยันจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์เพื่อคืนความชอบธรรมให้กับตัวเอง ผ่านทางศาล พร้อมได้โพสต์ข้อความให้รายละเอียด เชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชนไปติดตาม โดยระบุด้วยว่า “...ศาลได้กำหนดวันนัดไต่สวนไว้ ดังนี้ วันที่ 10 มิถุนายน วันที่ 8, 12, 15 และ 19 กรกฎาคม วันที่ 5, 16, 19 และ 26 สิงหาคม และ วันที่ 4, 14, 20 และ 27 กันยายน ตามลำดับ ตั้งแต่เวลา 09.30-16.00 นาฬิกาทุกวันนัด จึงขอเรียนเชิญสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมสังเกตการณ์และเป็นสักขีพยานรับฟังการไต่สวนร่วมกันกับผมตามวันและเวลาดังกล่าว ขอเรียนย้ำว่าคดีนี้ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนให้ต้องตีความ แค่รับฟังที่พยานให้การก็บอกได้ว่าจริงหรือเท็จ มารับรู้ร่วมกันครับ”
หลังจากนั้น สื่อมวลชนได้รายงานข่าวการไต่สวนคดี ให้รายละเอียดถึงคำให้การของพยานหลายปาก ในการไต่สวนวันแรก มีเนื้อหาน่าสนใจเช่นว่า
น.ส.ประเทือง อดีตพนักงานฝ่ายการเงิน บริษัท เบิกความต่อศาลสรุปว่า ตนมีหน้าที่ทำเอกสารสั่งจ่ายเช็คตามคำสั่งของหัวหน้าฝ่ายการเงิน ซึ่งได้รับคำสั่งมาจากผู้บริหารอีกต่อหนึ่ง เงินที่สั่งจ่ายถูกบันทึกว่าเป็นค่าที่ปรึกษา ซึ่งได้สั่งจ่ายเช็ครวมทั้งหมด 60 ล้านบาท แต่แยกจ่ายเช็คหลายใบสั่งจ่ายแต่ละครั้ง 1-2 ล้านบาท และการจ่ายจะระบุเป็นเงินสดโดยไม่ได้ระบุเป็นชื่อผู้รับเช็ค ทั้งนี้ หลังจากสั่งจ่ายเช็คไม่ทราบว่าเป็นของใคร หรือนำไปทำอะไร รวมถึงไม่ทราบว่าบริษัทมีที่ปรึกษากี่คน
น.ส.วิชชุดา อดีตหัวหน้าฝ่ายการเงินบริษัท กล่าวว่า ตนมีหน้าที่รับผิดชอบการเบิกจ่ายเงินของบริษัท โดยระหว่างที่บริษัทเป็นคู่สัญญาในโครงการบ้านเอื้ออาทร ผู้บริหารได้สั่งให้จัดทำเช็ค 11 ฉบับ จำนวน 18 ล้านบาท และเช็ค 34 ฉบับ จำนวน 63 ล้านบาท เพื่อจ่ายให้กับผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ จึงได้สั่งการต่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาจัดทำเช็คดังกล่าว ต่อมาทราบจากผู้บริหารอีกคนของบริษัทว่าเป็นการสั่งจ่ายให้นายวัฒนา เมืองสุข รมว.พม.ในขณะนั้น ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวถูกบันทึกในบัญชีไว้เป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม เพื่อหักออกจากรายได้ของบริษัท เพราะรายจ่ายนี้ไม่มีใบเสร็จ แต่ในเอกสารรายงานระบุเป็นค่าใช้จ่ายที่ปรึกษา อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่าเช็คดังกล่าวถูกโอนเข้าบัญชีใคร เพราะเมื่อนำเช็คส่งให้ผู้บริหารที่สั่งให้ทำเช็คก็ไม่ได้สอบถาม
นางชดช้อย ผู้ประกอบการบริษัทเอกชนฯ เบิกความว่า บริษัทได้เข้าร่วมโครงการบ้านเอื้ออาทร กับการเคหะแห่งชาติ ได้ติดต่อนายอริสมันต์ให้ช่วยหาที่ดิน ซึ่งนายอริสมันต์ได้แนะนำเสนอที่ดินในจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 6 แปลง ซึ่งนายอริสมันต์แจ้งว่าหากได้รับการอนุมัติให้ร่วมโครงการต้องจ่ายค่าดำเนินการให้ผู้ใหญ่ 40 ล้านบาท และ 7.6 ล้านบาทเป็นค่านายหน้า โดยมีที่ดิน 2 แปลงผ่านหลักเกณฑ์ให้ทำโครงการได้จึงทำการซื้อจำนวน 2 แปลง ภายหลังที่บริษัทได้รับการอนุมัติให้ทำโครงการ ก็มีผู้โทรศัพท์เข้ามาอ้างชื่อนายวัฒนา ทวงถามเงินค่าดำเนินการอนุมัติโครงการจำนวน 40 ล้านบาท เงินจำนวนดังกล่าวยืนยันมีการจ่ายจริงโดยตนได้เป็นผู้ดำเนินการแทนเจ้าของที่ดิน
น.ส.รุ่งทิพย์ เจ้าของที่ดินในโครงการบ้านเอื้ออาทร เบิกความสรุปว่า น้องชายตนแจ้งว่าจะหาคนมาซื้อที่ดิน ซึ่งน้องชายตนเป็นเพื่อนกับน้องชายของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง น้องชายตนบอกว่านายอริสมันต์จะช่วยให้ขายที่ดินได้ ต่อมานายอริสมันต์ได้มาติดต่อเสนอจะนำที่ดินของตนให้การเคหะฯ พิจารณาทำโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยแนะนำให้บริษัทของนางชดช้อยเป็นผู้ซื้อที่ดิน และให้น้องชายตนเป็นกลุ่มนายหน้า ตนจึงเสนอขายที่ดินไร่ละ 2.5 ล้านบาท มีการทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทของนางชดช้อยพร้อมวางมัดจำ 1 ล้านบาท ซึ่งการเจรจาซื้อขายมีครั้งหนึ่งนายอริสมันต์แจ้งว่าต้องมีค่าดำเนินการให้ผู้ใหญ่ 40 ล้านบาท และ 7.6 ล้านเป็นค่านายหน้า กระทั่งโครงการได้รับอนุมัติเมื่อเดือนม.ค.2549 นางชดช้อยให้ตนเสนอราคาไปที่การเคหะฯ ไร่ละ 3 ล้านบาท เพราะต้องใช้ดินถมที่จำนวนมาก แต่ตนไม่มีประสบการณ์ติดต่อกับหน่วยงานราชการ ดังนั้น เงินค่านายหน้า ค่าถมที่ดิน และค่าดำเนินการที่ได้มอบให้นางชดช้อยดำเนินการ ซึ่งตนไม่เห็นตัวเลขที่แท้จริงของเงินที่จ่ายไป ไม่ทราบว่านางชดช้อยจ่ายให้ใครบ้าง ไม่ทราบว่าผู้ใหญ่ของการเคหะเป็นใคร
แน่นอนว่า ฝ่ายจำเลยย่อมปฏิเสธข้อมูลคำให้การของพยานในข้างต้น
แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ปรากฏ ว่า นายวัฒนา จะโพสต์รายละเอียดข้อมูลหักล้างอย่างไร เหมือนเช่นที่เคยโพสต์ว่า “แค่รับฟังที่พยานให้การก็บอกได้ว่าจริงหรือเท็จ มารับรู้ร่วมกัน”
4. ขอให้ริบทรัพย์ 1,400 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญอีกเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป ในคดีของนายวัฒนา เมืองสุข กับพวก คือ กรณีอัยการ ซึ่งรับมอบอำนาจจาก อสส. ได้ยื่นเพิ่มเติมคำฟ้องเกี่ยวกับมาตรการร้องขอให้ริบทรัพย์สินหรือการใช้เงิน หรือทรัพย์สินอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท
ศาลสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การประเด็นดังกล่าวภายใน 30 วัน นับจากวันที่ 12 ก.พ.
จนถึงวันนี้ หากนายวัฒนามีความประสงค์จะให้สังคมได้รับความกระจ่างแจ้งในทุกมิติของคดีนี้จริงๆ ก็น่าจะนำรายละเอียดความคืบหน้ามาเล่าให้ฟังผ่านเฟซบุ๊คด้วย (ทรัพย์สินมูลค่า 1,400 ล้านบาทนั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? อยู่ในชื่อใครบ้าง? เกี่ยวพันกับคดีนี้อย่างไร?)
เพราะดูตามข้อกฎหมายแล้ว จะเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญ และสามารถจะมีผล โดยไม่ต้องรอถึงวันที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาถึงที่สุด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี