พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับหลักการสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญไว้ และมีการเผยแพร่พระราชดำรัสนั้นให้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั้งปวงโดยเฉพาะผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะเทิดไว้เหนือเกล้า แล้วน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติ ซึ่งมีแต่จะเป็นประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชน
พระบรมราโชวาทดังกล่าวนั้นสรุปก็คือ การร่างรัฐธรรมนูญจะต้องสั้น ต้องไม่ยาว ต้องชัดแจ้ง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้โดยง่ายแก่ประชาชนโดยทั่วไป
ซึ่งถ้าหากได้ร่างรัฐธรรมนูญตามพระบรมราโชวาทดังกล่าวแล้ว รัฐธรรมนูญก็จะต้องสั้น ชัดเจน ไม่เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย ซึ่งจะเป็นทางที่ประชาชนทั้งหลายจะเข้าใจและปฏิบัติได้โดยไม่เป็นปัญหา แต่ทว่าน่าเสียดายนักที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องมิได้น้อมนำพระบรมราโชวาทดังกล่าวมาปฏิบัติ
มิหนำซ้ำ บางคนยังบังอาจกล่าวว่าการร่างรัฐธรรมนูญจะพยายามยึดหลักรัฐธรรมนูญของเยอรมนีและฝรั่งเศส จนเกิดการท้วงติงว่าหลักการของรัฐธรรมนูญประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนีนั้นเป็นรัฐธรรมนูญที่มีหลักการการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ คำพูดเหล่านั้นจึงค่อยๆ เงียบหายไป แต่การร่างรัฐธรรมนูญก็มิได้เปลี่ยนแปลงไปจากแนวความคิดที่ว่านั้น
นอกจากนั้น การร่างรัฐธรรมนูญต้องยึดหลักที่สำคัญคือต้องถือเอาประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนเป็นที่ตั้ง หากการร่างรัฐธรรมนูญใดถือเอาบุคคลเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าเพื่อกีดกันคนบางพวกไม่ให้เข้ามามีอำนาจ หรือเพื่อเกื้อกูลคนบางคนบางพวกให้มีอำนาจ การร่างรัฐธรรมนูญนั้นก็ผิดหลักผิดเกณฑ์ และย่อมเกิดปัญหานานาประการ
โดยเฉพาะการเขียนบทเฉพาะกาลแห่งรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องเป็นกรณีเฉพาะและจำเป็นเพื่อให้ระยะผ่านการบังคับใช้รัฐธรรมนูญสองฉบับให้เป็นไปโดยราบรื่นในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นใหม่สามารถบังคับใช้ได้เต็มรูปแบบ
นับแต่ร่างรัฐธรรมนูญที่พยายามร่างกันขึ้นใหม่นี้ใช้บังคับปรากฏว่าได้เกิดปัญหานานัปการขึ้น ตั้งแต่กระบวนการในการสมัครรับเลือกตั้ง ในการประกาศผลการเลือกตั้ง ในการตรวจสอบไต่สวนเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่ชอบหรือไม่สุจริตและเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง ทั้งในส่วนองค์กรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและผู้ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญนั้น
ขณะนี้มาถึงชั้นการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีก็ส่อว่ากำลังจะเกิดปัญหาตามมาอีก ดังนั้นจึงสมควรจะได้ลำดับปัญหาที่เกิดขึ้นอันเป็นผลพวงมาจาก
การร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
ประการแรก เกี่ยวกับการสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กกต. จะต้องตรวจสอบการสมัครรับเลือกตั้งว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนที่จะรับสมัครหรือไม่ เพราะว่าถ้าหากมีความผิดพลาดในเรื่องนี้ก็มีเวลาจำกัดที่จะเพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งนั้น โดยรวมก็คือจะต้องขอเพิกถอนเสียก่อนการเลือกตั้ง
แต่ปรากฏว่าด้วยระยะเวลาอันจำกัดและด้วยกระบวนการในการตรวจสอบคุณสมบัตินั้นยังมีช่องโหว่ช่องว่างอยู่เป็นอันมาก ดังนั้นจึงทำให้ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติได้ลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วก่อเกิดปัญหาในภายหลังขึ้น
ประการที่สอง เกี่ยวกับการประกาศผลการนับคะแนนแต่ละหน่วยเลือกตั้งและผลรวมของแต่ละเขตเลือกตั้ง รวมทั้งผลรวมของคะแนนรวมของแต่ละพรรคการเมืองสำหรับใช้ในการคำนวณ สส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งจนถึงวันนี้การเลือกตั้งผ่านมาช้านานแล้ว แต่พรรคการเมืองและผู้เกี่ยวข้องก็ยังไม่ทราบว่าผลการเลือกตั้งแต่ละหน่วย แต่ละเขต เป็นอย่างไร ทำให้เกิดปัญหาข้อสงสัยเกี่ยวกับคะแนนการเลือกตั้งรวมที่ใช้ในการคำนวณ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และยังมีการร้องขอเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายประการ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นมาในวันใด
ประการที่สาม การกำหนดหลักการนำผลคะแนนรวมเพื่อใช้ในการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อนั้นเป็นเรื่องใหม่ที่อาจถือได้ว่าเป็นรุ่งอรุณของการนำหลักการตามรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสและเยอรมนีมาใช้ เพราะใครจะรู้ว่าสักวันหนึ่งก็จะพัฒนาไปจนถึงขั้นการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง และอาจพัฒนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงต้องนับว่าตรงนี้เป็นย่างก้าวสำคัญที่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอย่างอื่นไปได้ในอนาคต
ประการที่สี่ เกี่ยวกับการคำนวณ สส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีช่องโหว่ช่องว่างทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดมีความชัดเจนอยู่พอสมควรแล้วว่า การจัดสรร สส.แบบบัญชีรายชื่อนั้นจะต้องจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส. แบบเขตเลือกตั้ง ตามสัดส่วนของคะแนนรวมที่ได้รับ แต่ต้องไม่เกิน สส.พึงมี ซึ่งช่องโหว่ช่องว่างเหล่านั้นก่อให้เกิดการตีความที่เป็นปัญหาว่าสามารถจัดสรร สส.แบบบัญชีรายชื่อให้แก่พรรคการเมืองที่ไม่มี สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ด้วย จึงเป็นที่ครหานินทาและเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอันอาจจะส่งผลต่อการเลือกตั้งโดยรวมก็ได้
ประการที่ห้า การกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่วกวนมากมายยิ่งกว่าการเดินทางรอบเขาวงกต โดยเฉพาะการขาดการคำนึงถึงสถานการณ์และความเป็นจริงของบ้านเมือง ดังเช่น การห้ามมิให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และสส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ โดยขาดความเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าสื่อมวลชนนั้นในปัจจุบันนี้มิได้มีแค่หนังสือพิมพ์อย่างเดียว แต่มีสื่อมวลชนจำพวกโซเชียลมีเดียมากมายหลายชนิดที่เป็นสื่อมวลชนที่ทรงอานุภาพในปัจจุบัน และมีผลต่อการเลือกตั้งมากกว่าหนังสือพิมพ์จนสุดประมาณนัก
ผลจากเรื่องนี้จึงทำให้เกิดเรื่องร้องเรียนเพื่อเพิกถอน สส. และสว. นับถึงขณะนี้เกือบจะมีจำนวนรวมกันถึง 200 คนแล้ว ซึ่งย่อมก่อให้เกิดวิกฤติทางการเมืองขึ้นอย่างร้ายแรงต่อไปได้
ประการที่หก ผลจากความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนวกไปวนมาจนแทบหาเค้าเงื่อนไม่เจอ ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเกิดผลดังที่เห็นอยู่ ซึ่งแต่เดิมมานั้นก็จะทราบผลการเลือกตั้งที่ค่อนข้างแน่นอนตั้งแต่คืนวันเลือกตั้งแล้ว และในระยะเวลาวันหรือสองวันหลังจากนั้นก็จะมีแถลงการณ์ร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างชัดเจน และจากนั้นไม่นานรัฐบาลใหม่ก็สามารถเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ ไม่ก่อให้เกิดความชะงักงัน หรือความไม่เชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งในและต่างประเทศ
ประการที่เจ็ด คือการกำหนดบทเฉพาะกาลให้ สว. ซึ่งโดยหลักการนั้น สว. มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ตรวจสอบ และควบคุม รวมทั้งการกลั่นกรองการทำงานของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรด้วย แต่เมื่อกำหนดให้ สว. แต่งตั้งโดย คสช. และมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี กระทั่งเข้าร่วมลงมติในการพิจารณาเรื่องสำคัญๆ ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร จึงกระทบต่อหลักการการมี สว. จนแทบจะสิ้นเชิง และถึงวันนี้ก็มีเสียงกล่าวหากึกก้องว่า สว. คือองค์กรค้ำจุนทางการเมืองของพรรคการเมืองเท่านั้น ตรงจุดนี้จะเป็นตราบาปแห่งหลักการการมี สว. ที่จะเป็นเรื่องเล่าขานต่อไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ประการที่แปด ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นคือการตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาที่หนักหนาไม่ต่างกัน เพราะนอกจากคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งและ สส., สว. แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นจากนั้นก็คือการกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ
คือต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
นั่นคือต้องมีทั้งความซื่อสัตย์ ไม่ทรยศหักหลังใคร มีความซื่อตรงต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่คดในข้องอในกระดูก หรือแม้กระทั่งทรยศต่อพรรคการเมืองที่ตนสังกัดหรือทรยศต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในการเลือกตั้ง
นั่นคือต้องมีความสุจริต ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ไม่ว่าจะมีคำพิพากษาของศาลตัดสินแล้วหรือไม่ ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีพฤติกรรมหรือพฤติการณ์ในการทุจริต ฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์บังหลวง คือทั้งฉ้อราษฎร์ก็ดี บังหลวงก็ดี หรือเป็นที่ประจักษ์รู้กันโดยทั่วไปว่ามีพฤติการณ์เช่นนั้นก็ดี
ที่สำคัญคือทั้งความซื่อสัตย์และความสุจริตนั้นจะต้องเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่รู้กันทั่วไปในสังคมและประชาชน
ตรงนี้แหละจะเป็นปัญหา และเป็นความรับผิดชอบในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้
เหล่านี้คือปัญหาเล็กน้อยตั้งแต่รับสมัครเลือกตั้ง มาจนถึงขั้นตั้งคณะรัฐมนตรี ก็ได้รู้เห็นกันแล้วว่าเป็นอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในอนาคต ปัญหาความขัดแย้งและวิกฤติต่างๆ อาจจะเกิดขึ้นจนสุดหยั่งคาดก็ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี