วุฒิสภา หรือสภาสูงของไทยเราในวันนี้ มีความพิเศษกว่าที่ผ่านมา ตรงที่มีนายพลที่ยังรับราชการอยู่ 6 ท่าน มาดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ได้แก่ นายพลจากฝ่ายกองทัพบก เรือ อากาศ รวม 5 คน และนายพลจากตำรวจอีก 1 คน ต่างคนต่างดำรงตำแหน่งสูงสุดขององค์กรนั้นๆ (แม่ทัพบก แม่ทัพเรือ แม่ทัพอากาศ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการกองทัพไทย และผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) โดยรวมก็มีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็หลายแสนคน พร้อมด้วยอำนาจตามกฎหมาย และอาวุธยุทโธปกรณ์อีกมากมาย และได้รับงบประมาณสำหรับใช้จ่ายก็เป็นแสนๆ ล้านบาท ฉะนั้น ทั้ง 6 นายพลประจำการนี้ มิได้มาแต่ตัวเปล่าๆ โดยแต่ละคน มีผู้ใต้บังคับบัญชา และมียุทโธปกรณ์อย่างครบครัน จัดว่าเป็นกลุ่มที่มีพลังน่าเกรงขามในวุฒิสภาและในเวทีการเมืองไทย
ซึ่งกระบวนการที่บุคคลเหล่านี้มารับตำแหน่งเป็น สว.นั้น ก็ถูกต้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่แม้จะร่างโดยกองทัพ แต่ก็ได้ผ่านการเห็นชอบจากประชาชนพลเมืองด้วยการลงประชามติ ทำให้กลายเป็นความถูกต้องชอบธรรม ผู้ใดจะโต้เถียงเพื่อให้เป็นอื่นไปมิได้
แต่หากมีใครถามขึ้นมาว่า แล้วกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยฉบับปี 2560 มีโครงสร้างการเมืองการปกครองเป็นรัฐประชาธิปไตยอย่างเต็มตัวไหม คำตอบก็แน่นอนว่า “ไม่” เพราะโดยหลักประชาธิปไตยทั่วไปแล้ว ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมือง (เช่นในกรณีตำแหน่ง สว.) นั้น จะต้องไม่ใช่ข้าราชการประจำ อีกทั้งฝ่ายข้าราชการประจำ จะต้องไม่เข้ามามีบทบาททางการเมือง และไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายการเมืองหนึ่งใด กล่าวคือไม่เอนเอียง โดยมุ่งทำหน้าที่เพื่อบริการรับใช้ประชาชนและประเทศชาติโดยรวม และไม่มีหน้าที่ไปเป็นฐานทางการเมืองให้กับฝ่ายการเมืองใดๆ
แต่สำหรับการเมืองไทย ในยุคหลัง กลับมีทฤษฎีการเมืองแบบไทยๆ ว่า หากจะให้การเมืองมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง จะต้องมีทหารกำกับการเมือง ซึ่งขัดกับทฤษฎีการเมืองแบบสากล ชนิดตรงกันข้าม เพราะในโลกเสรีนั้น ทหารเป็นผู้รับคำสั่งจากฝ่ายการเมือง (พลเรือน) และต้องไม่เข้าไปร่วมบริหาร ไม่กระทำตนเป็นทหารการเมือง
เมื่อมี 2 ทฤษฎีที่ขัดกันเช่นนี้ ประชาชนไทยก็เลยแตกออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็กลัวความวุ่นวายทางการเมืองจะกลับมา เลยเลือกสนับสนุนทหารการเมืองอย่างเต็มที่ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง ยังต้องการให้ทหารทำงานทหารอยู่ที่ค่ายทหาร แล้วปล่อยให้การเมืองเดินหน้าไปด้วยตัวมันเอง
ซึ่งหากจะยึดเอาความถูกต้องตามหลักการ และสามัญสำนึกแล้ว โดยดูจากความมุ่งมั่นของสังคมไทยตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 การเมืองไทยจะต้องเป็นเรื่องของฝ่ายพลเรือน โดยทหารไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ซึ่งตราบใดที่ทหารยังยืนยันที่จะเข้ามามีบทบาทในการเมืองไทย ก็จะเป็นเรื่องคาใจ ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งต่อไปในไม่ช้า
จากหลักการขั้นต้น ก็แสดงให้เห็นว่า การที่ข้าราชการประจำมารับตำแหน่งทางการเมือง โดยที่มิได้ลาออกจากสถานะข้าราชการนั้น เป็นเรื่องที่ขัดกับหลักประชาธิปไตยอย่างชัดเจน และยังขัดกับความรู้สึกของประชาชนอีกด้วย(นี่ยังมิได้กล่าวถึง สว.ท่านอื่นๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการสรรหาจากทางกองทัพ โดยมีความใกล้ชิดกับผู้แต่งตั้ง ทั้งความสนิทสนม หรือมีพื้นเพจากการรับราชการกองทัพด้วยกันมา เป็นต้น)
แน่นอนว่า การหวังพึ่งในรัฐสภาทำการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อกำหนดให้ทหาร และตำรวจ ออกไปจากเวทีการเมือง นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะได้มีการกำหนดขั้นตอนแก้ไขที่ซับซ้อนยุ่งยากและกินเวลานานเอาไว้ล่วงหน้า ชนิดเรียกได้ว่า ยากเย็นเข็ญใจที่จะดำเนินการ
แต่ระหว่างนี้ หากท่านสมาชิกวุฒิสภานายพลประจำการทั้ง 6 ท่าน เกิดมีความรู้สึกทางประชาธิปไตยตรงกันกับหลักประชาธิปไตยสากล และประชาชนไทย ก็คงจะมีคำถามว่า แล้วจะให้ทำกันอย่างไรได้บ้างเพื่อตัวท่านเองจะยังคงความสง่างาม และช่วยกู้ภาพลักษณ์ และอุดมการณ์ประชาธิปไตยของทางกองทัพให้ดูดี และลดความตึงเครียดต่อสังคม
ก็เรียนแนะนำ ท่านนายพลประจำการทั้ง 6 ท่านดังนี้
1) ขอลาประชุมวุฒิสภา และรัฐสภาตลอดอายุรัฐสภา
2) ไม่รับเงินเดือน อภิสิทธิ์ และค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้นจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา
3) ไม่รับตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ และในสมาคมมิตรภาพรัฐสภาต่างๆ ทั้งสิ้น
4) ไม่แต่งตั้งบรรดาผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาต่างๆ ที่เป็นไปตามสิทธิของสมาชิกวุฒิสภา
5) ประกาศต่อสังคมว่า เวลาทำงานของตนทั้งหมดนั้น จะอุทิศให้กับประเทศชาติ ให้กับราชวงศ์เป็นสำคัญ ทั้งในการปกป้องคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยของราชอาณาจักรไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามภาระหน้าที่ในตำแหน่งของข้าราชการประจำที่ตนดำรงอยู่
นั่นก็เพราะกองทัพ และกองตำรวจ ไม่ได้มีหน้าที่ค้ำอำนาจให้กับรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรีใดๆ ทั้งสิ้น หากแต่มีหน้าที่ดำเนินตามนโยบายป้องกันประเทศ และร่วมพัฒนาประเทศ โดยไม่มีหน้าที่เป็น “นักการเมืองกับเขาด้วย” แต่อย่างใด
ผู้ที่อยู่ในรัฐบาลชุดใหม่ต่างก็โตๆ กันแล้ว ย่อมมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะรับผิดชอบตนเองในภารกิจทางการเมือง ด้วยว่ามาจากกระบวนการเลือกตั้ง และปล่อยให้ทหาร ตำรวจ ที่ยังประจำการ ไปทำหน้าที่โดยตรงของเขา มิใช่ลากเขามาทำงานการเมือง เพื่อรองรับอำนาจของตนเอง แล้วปล่อยให้ประชาชนทำตาปริบๆ พูดไม่ออก บอกไม่ถูก กับทฤษฎีประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่สวนกระแสโลก และสวนกระแสความรู้สึกของเสรีชนเช่นนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี