ปัญหาค่าเงินบาทของไทยเกิดความแข็งค่าเป็นอย่างมากตั้งแต่ต้นปี 2562 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศทั้งการส่งสินค้าออกไปยังตลาดต่างประเทศและธุรกิจด้านการบริการด้านสาธารณสุข การศึกษา และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยเป็นอย่างมาก ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 นั้น ค่าเงินบาทมีสถานะที่แข็งมากกว่าเดือนที่แล้วดังนี้คือ
เงินหนึ่งเหรียญสหรัฐ เท่ากับ 30.50 ถึง 30.85 บาท หนึ่งปอนด์สเตอร์ลิง สหราชอาณาจักร เท่ากับ 38 ถึง 39 บาท จะเห็นว่าเงินปอนด์ราคาตกฮวบ เงินหนึ่งยูโรเท่ากับ 35 บาท ซึ่งตกลงมาจากเดิมถึง 2 บาท หนึ่งเหรียญฮ่องกง เท่ากับ 3.8 บาท หนึ่งเหรียญสิงคโปร์เท่ากับ 22.35 บาท หนึ่งริงกิตมาเลเซีย เท่ากับ 7.25 บาท 100 เยนญี่ปุ่น เท่ากับ 28.15 บาท และ 1 หยวนจีน เท่ากับ 4.30 บาท
การที่ค่าเงินบาทแข็งมากเกินไปนั้นผู้ที่รับผิดชอบดูแลคือธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังต้องนำปัญหามาพิจารณาด่วนที่สุดอย่าลืมว่ารายได้เข้าประเทศไทยมากกว่าร้อยละ 30 มาจากการส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศถ้ารายได้จากการส่งสินค้าออกของเราลดลงไปไม่เพิ่มขึ้น เช่น ทุกๆ ปีก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้ประชาชาติและประชาชนโดยทั่วไปทั้ง 67 ล้านคน อย่างแน่นอนที่สุด
รายได้ส่วนต่อมาก็คือรายได้จากการบริการต่างๆได้แก่บริการท่องเที่ยวที่ปีหนึ่งๆ ไทยมีรายได้ส่วนนี้ประมาณ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.6 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ บริการด้านสาธารณสุขและบริการด้านการศึกษาที่มียอดรายได้เข้าประเทศต่อปีประมาณ 300,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยกลุ่มลูกค้ามาใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนของไทยชื่นชมฝีมือของนายแพทย์และพยาบาลที่ให้การรักษาพยาบาลคนไข้ต่างชาติเป็นอย่างดี
ด้านการท่องเที่ยวของไทยนั้นมีรายงานว่าหากค่าเงินบาทแข็งค่ามากก็จะทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวหดหายไปประมาณ 800,000 ล้านบาท ถึงกับมีข่าวว่าโรงแรมในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออก ที่เมืองพัทยา สัตหีบ และศรีราชา รายรับวูบถึงขั้นมีการประกาศขายโรงแรม เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเช่นเดียวกับ
ในพื้นที่จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน เช่น กระบี่ พังงา ภูเก็ต รวมแล้วมีการขายโรงแรมรวม 140 แห่ง
มีตัวเลขระบุอีกว่านักท่องเที่ยวชาวจีนและยุโรปใช้จ่ายเงินในการมาท่องเที่ยวในไทยในปี 2562 ลดลงเพราะค่าเงินบาทแข็งในขณะเดียวกันบรรดาชาวไทยที่อยู่ในกลุ่มคนมีฐานะร่ำรวยและคนชั้นกลางที่มีประมาณ 9 -10 ล้านคน มักนิยมเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นจากปี 2560 และปี 2561 เนื่องจากเงินบาท
สามารถจับจ่ายซื้อสินค้าในต่างประเทศได้มากขึ้น
การแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินสมควรนั้นหน้าที่แก้ปัญหาโดยตรงคือ ธนาคารแห่งประเทศไทยรองลงมาก็คือ กระทรวงการคลัง ต้องประสานงานแก้ไขสถานการณ์โดยเร่งด่วนเพราะหากช้ามากเกินไปก็จะเป็นผลเสียต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี