“ที่นี่แนวหน้า” ยังคงอยู่ที่งานเสวนาเรื่อง “มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจการเมืองไทย : กับดักหรือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” เนื่องในโอกาสครบ 70 ปี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ซึ่งนอกจากวิทยากรที่เป็นอาจารย์ในคณะรัฐศาสตร์แล้วยังมีอาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. มาร่วมด้วย อาทิ รศ.ดร.อภิชาติ สถิตนิรามัย ที่ได้นำเสนอไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน และ ศ.ดร.อารยะ ปรีชาเมตตา ที่จะนำมาบอกเล่ากับท่านผู้อ่านในสัปดาห์นี้
อาจารย์อารยะ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าวไว้น่าสนใจหลายประเด็น 1.ปัจจุบันโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเจอปัญหาสำคัญ 3 เรื่อง อาทิ 1.1 ค่าจ้างแรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled Labour) สูงขึ้น อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและมีบทบาทต่อยอดการส่งออกสินค้าไม่อาจแข่งขันได้อย่างเคย 1.2 แรงงานมีฝีมือด้านเทคโนโลยียังขาดแคลน ทำให้ไม่สามารถยกระดับอุตสาหกรรมได้ และ 1.3 การเจริญเติบโตยังรวมศูนย์และกระจุกตัว
2.มุมมองของชนชั้นนำทั้งภาครัฐและกลุ่มทุนใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างสูงกับเศรษฐกิจไทย เสนอทางออกไว้ 3 ด้านเช่นกัน คือ 2.1 ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกันอย่างขนานใหญ่ แต่ด้วยเวลาที่จำกัดจึงไม่สามารถลงทุนให้เกิดผลได้รวดเร็วทั่วประเทศ 2.2 ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมใหม่ และ 2.3 คาดหวังว่าแผนของไทยจะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ One Belt One Road ของจีน “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)” คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากแนวคิดเหล่านี้ เมื่อมีเขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมา
3.แต่การพัฒนาเศรษฐกิจก็มีข้อควรพิจารณา อาทิ 3.1 ความเสี่ยงจากภายนอก เช่น สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา จะทำให้จำนวนนักลงทุนที่จะเข้ามาในไทยน้อยกว่าที่คาดหวังไว้หรือไม่? ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นรัฐต้องแบกรับภาระหนี้เอง “หากหนี้สาธารณะสูงมาก การใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมก็จะสำคัญน้อยลง” 3.2 ปัจจุบันมีเพียงการประเมินทางเศรษฐกิจ แต่ยังไม่มีการประเมินทางสังคม “แต่ละโครงการใครได้-เสียบ้าง และจะชดเชยคนที่เสียอย่างไร?” เมื่อไม่ให้การพัฒนามีผู้ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง
4.ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในอดีตการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้ประเทศตะวันตกต้องการระบบการเสรี เพราะหากไม่มีการค้าเสรี ผลผลิตส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นแล้วประเทศอื่นๆ ไม่สามารถมาซื้อได้ ราคาก็จะตกลงอย่างมาก แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีถูกคุมด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ที่คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ต้นทุนเพิ่มไม่มากและยิ่งคนใช้มากขึ้นราคายิ่งไม่ตก และหากครองตลอดก็มักจะครองได้ทั้งหมด “เกิดความเหลื่อมล้ำรูปแบบใหม่” จากเดิมที่คุ้นเคยกันว่าความเหลื่อมล้ำมาจากการกระจุกตัวของปัจจัยการผลิต เช่น การถือครองที่ดิน
5.มุมมองที่ต่างกันระหว่างชนชั้นนำ 2 ฝ่ายว่าด้วยการพัฒนาประเทศในอนาคต ระหว่าง “กลุ่มอนุรักษ์นิยม” ที่ถือครองอำนาจอยู่ในปัจจุบัน “ต้องการใช้แผน Thailand 4.0 และ EEC พาประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง” โดยเชื่อว่าหากทำสำเร็จจะมีรายได้มาอุดหนุนนโยบายสวัสดิการสังคมต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ“ชนชั้นนำกลุ่มนี้ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองและสังคม” ที่ตนเองได้เปรียบ
กับ “กลุ่มเสรีนิยม” แม้จะมีเป้าหมายพาประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางเช่นกัน “ชนชั้นนำกลุ่มนี้ไม่เชื่อว่าจำเป็นต้องทำตามแผน Thailand 4.0 ทั้งหมด และอาจต้องต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม” ทั้ง 2 กลุ่มนี้มีการต่อสู้กันอยู่ แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่า ณ ปัจจุบัน ชนชั้นนำกลุ่มแรกมีโอกาสได้ใช้แผน 4.0 และ EEC ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศต่อไป
บทสรุปของการวิเคราะห์ อาจารย์อารยะ มองว่า “ประเทศไทยอาจก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางทางเศรษฐกิจได้สำเร็จ แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงทางสังคมยังคงดำรงอยู่” เพราะผู้มีอำนาจไม่ยอมให้เสียงคนข้างล่างหรือเสียงส่วนใหญ่ได้แสดงออกซึ่งข้อเรียกร้อง ดังนั้นความเหลื่อมล้ำย่อมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ปัจจัยภายนอกก็ยังมีความสำคัญมากที่สุด
“ถึงคุณจะกุมอำนาจได้ทั้งหมดในประเทศ ตัวแปรสำคัญก็คือปัจจัยภายนอก ถ้าสมมุติระบบการค้าของโลกยังเป็นระบบการค้าเสรีเหมือนเดิม ระบบนี้เสถียรได้ คนที่กุมอำนาจในระบบเศรษฐกิจสามารถควบคุมความมั่งคั่ง (Wealth) แล้วก็จะอยู่ได้ในระยะยาวได้ถ้าเป็นระบบการค้าเสรีในอดีต แต่ต่อไปบริษัทใหญ่ทางเทคโนโลยีมันจะกุมอำนาจ แล้วมันก็ข้ามพรมแดน คำถามคือคุณคุมข้างในได้หมดแล้วแน่ใจหรือว่าความมั่งคั่งของคุณที่คุณควบคุมไม่ได้ มันจะไม่ตกเป็นของบริษัทต่างประเทศ
ถ้าคุณไม่สามารถพัฒนาคนให้แข่งขันได้ในตลาดที่มันกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ความมั่งคั่งที่คุณอุตส่าห์ลงทุนลงแรงทำมาได้ ถึงที่สุดคุณอาจจะแพ้ต่างประเทศแล้วก็ถูกดูดไปทั้งหมด อันนี้อาจเป็นความหวังเล็กๆ ที่ทำให้กลุ่มที่ 1 (ผู้ถืออำนาจเดิม) เห็นว่าถ้าไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ถึงคุณชนะก็ไม่มีเสถียรภาพในระยะยาว แล้วยอมปล่อยให้มีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่มันอาจใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะประจักษ์ถึงข้อเท็จจริง” อาจารย์อารยะ กล่าวทิ้งท้าย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี