เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐได้แถลงว่า สหรัฐได้พบว่าการที่สหรัฐได้คุ้มครองความปลอดภัยให้กับญี่ปุ่นนั้นเป็นภาระรายจ่ายอันหนักแก่สหรัฐแต่ฝ่ายเดียวมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองและญี่ปุ่นเป็นผู้ได้รับประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว ดังนั้น สหรัฐจำเป็นต้องทบทวนการคุ้มครองความปลอดภัยให้ญี่ปุ่น
ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นสหรัฐก็ส่งคำเตือนต่อเกาหลีใต้ให้ระงับหรือยกเลิกความร่วมมือในการตั้งเครือข่าย 5G ที่ตกลงร่วมกับหัวเว่ยของจีน มิฉะนั้นสหรัฐอาจพิจารณาแซงก์ชั่นเกาหลีใต้ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบในทางความมั่นคงต่อเกาหลีใต้อย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นในขณะที่มีเหตุการณ์สองอย่างเกิดขึ้น คือ ญี่ปุ่นเริ่มติดต่อพบปะกับผู้นำของรัสเซียและจีนบ่อยครั้งขึ้น และเกาหลีใต้ก็จับมือค้าขายน้ำมันกับอิหร่านและคบหากับรัสเซียและจีนเพิ่มขึ้นแม้ว่าทั้งสองประเทศนี้ได้พยายามสนับสนุนซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาลจากสหรัฐไปแล้ว
ดังนั้นการแสดงท่าทีที่จะยกเลิกการคุ้มครองความปลอดภัยให้กับญี่ปุ่นซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เพราะนับแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง สหรัฐได้เขียนรัฐธรรมนูญให้ญี่ปุ่นปฏิบัติโดยกำหนดหลักสำคัญคือ ห้ามญี่ปุ่นจัดตั้งกองทัพ และอนุญาตให้มีได้เฉพาะกองกำลังป้องกันตนเอง และต่อมาเมื่อ 2-3 ปีก่อน ก็ได้แก้ไขข้อกำหนดนี้ให้ญี่ปุ่นสามารถจัดตั้งกองทัพได้ จึงทำให้ญี่ปุ่นได้เริ่มพัฒนากองทัพครั้งใหญ่ แต่แม้กระนั้นสหรัฐก็ยังคงถือว่าเป็นผู้ให้การคุ้มครองญี่ปุ่นเช่นเดิม
ทั้งเพื่อให้การคุ้มครองแก่ญี่ปุ่นและเพื่อความเข้มแข็งของแสนยานุภาพของกองเรือที่ 7 ของสหรัฐที่รับผิดชอบมหาสมุทรแปซิฟิกให้แก่แสนยานุภาพของสหรัฐ สหรัฐก็ได้จัดวางฐานทัพและเส้นทางสนับสนุนบำรุงต่างๆ อย่างครอบคลุมและแน่นหนา สรุปได้ดังนี้คือ
ประการแรก ได้มีการจัดตั้งกองเรือที่ 1, 2, 3 และ 4 และกองเรือที่ 8, 9 และ 10 เพื่อรับผิดชอบสองฝั่งทวีปสหรัฐอเมริกา
ประการที่สอง ได้มีการจัดตั้งฐานทัพใหญ่ที่สุดขึ้นในเกาะโอกินาวาของญี่ปุ่น และมีฐานทัพที่เกาหลีใต้ด้วย รวมทั้งได้จัดตั้งฐานทัพใหญ่ไว้ที่ออสเตรเลีย และยังมีการตั้งฐานทัพไว้ที่หมู่เกาะดิเอโก้การ์เซีย ในมหาสมุทรอินเดีย เพื่อประสานสนับสนุนอีกทางหนึ่ง
ประการที่สาม ได้ควบคุมการเดินเรือในสามเส้นทางสำคัญ คือ จากฝั่งตะวันตกของสหรัฐมายังเกาะฮาวาย จากเกาะฮาวายมายังเกาะกวม และจากเกาะกวมมายังโอกินาว่า ซึ่งสามารถควบคุมถึงพื้นที่ทะเลจีนใต้และไต้หวันด้วย
ประการที่สี่ ได้ควบคุมการเดินเรือในสามช่องแคบหลักที่จะเชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิกกับประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ คือช่องแคบแลมบอร์ค ช่องแคบซุนดา และช่องแคบมะละกา
และยังควบคุมเส้นทางเดินเรือในช่องแคบพิเศษ คือช่องแคบไต้หวัน ซึ่งเป็นช่องแคบระหว่างแผ่นดินใหญ่และไต้หวันตลอดมา
ประการที่ห้า ได้ส่งกองเรือลาดตระเวนในพื้นที่สามทะเล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิก นั่นคือทะเลเหลืองซึ่งเป็นทะเลน่านน้ำที่คั่นระหว่างจีนกับเกาหลี ทะเลจีนใต้ซึ่งเชื่อมโยงกับประเทศอาเซียนหลายประเทศ และทะเลจีนตะวันออก ซึ่งเชื่อมโยงกับทะเลญี่ปุ่นและน่านน้ำมาถึงไต้หวันได้ด้วย
โดยสภาพเช่นนั้นจึงทำให้สหรัฐสามารถครองความเป็นเจ้าในมหาสมุทรแปซิฟิกได้อย่างเต็มภาคภูมิมาตั้งแต่ยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
การวางกำลังทางยุทธวิธีดังกล่าวมีขนาดใหญ่มาก จึงก้าวข้ามพ้นจากปัญหาทางยุทธวิธีไปเคาะประตูปัญหายุทธศาสตร์ ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าเป็นระบบคิดแบบการเล่นหมากรุกฝรั่งหรือเชส ที่ใช้ระบบการปะทะซึ่งหน้าทั้งอาวุธสั้น อาวุธยาว โดยวางขุนไว้ในที่ปลอดภัย และกลยุทธ์นี้ประเทศตะวันตกทั้งหลายก็ได้นำไปใช้โดยทั่วไป
แต่ทว่าหลักกลยุทธ์และหลักยุทธศาสตร์ทางตะวันออกนั้นยังมีมากกว่านั้น โดยเฉพาะคือกลยุทธ์แบบหมากล้อมที่ไม่ต้องอาศัยการปะทะซึ่งหน้า ไม่ต้องอาศัยการปะทะระหว่างมากกับน้อย หรืออ่อนกับแข็ง แต่วางกลหมากล้อมที่ทำให้การวางกำลังทั้งหลายขยับเขยื้อนไม่ได้ ซึ่งเป็นหลักคิดทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากของปราชญ์ทางทหารตะวันออก
ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกถ้าหากพิจารณาในเชิงกลยุทธ์หมากล้อมก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจกระจ่างแจ้งมากขึ้น เพราะถ้าหากพิจารณาโดยแยบคายก็จะได้เห็นการวางกำลังที่ประดุจดังการวางกลหมากล้อมในกระดานหมากรุกใหญ่ คือ มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งสรุปได้ดังนี้
ประการแรก เพราะเหตุความขัดแย้งและความรุนแรงจากการเคลื่อนไหวของขบวนการก่อการร้ายที่กระทำต่อฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย จึงเป็นเหตุให้ทั้งสองประเทศนี้หันไปร่วมมือกับรัสเซียและจีน และทำให้รัสเซียและจีนได้ส่งกองเรือดำน้ำไปป้วนเปี้ยนอยู่แถบสามช่องแคบอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งบัดนี้
ประการที่สอง เพราะเหตุความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี จึงทำให้จีนและรัสเซีย รวมทั้งเกาหลีเหนือ เคลื่อนกองเรือทั้งผิวน้ำและใต้น้ำเข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ในทะเลเหลือง ทะเลจีนใต้ และทะเลจีนตะวันออก
ประการที่สาม เพราะเหตุความตึงเครียดของสถานการณ์โลก โดยเฉพาะการเสริมกำลังของกลุ่มนาโตในพื้นที่ยูเรเซีย ทำให้รัสเซียได้ประกาศยุทธศาสตร์ว่าถ้าสงครามเกิดขึ้นรัสเซียอาจโจมตีแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐโดยตรง โดยไม่ยอมเป็นฝ่ายตั้งรับแต่ฝ่ายเดียว
เป็นเหตุให้รัสเซียได้ส่งกองเรือทะเลเหนือและกองเรือแปซิฟิกซึ่งเป็นกองเรือใหญ่ของนาวิกกานุภาพของรัสเซียเข้ามายังพื้นที่สำคัญสามพื้นที่คือ ด้านเหนือของทวีปอเมริกา แถบคาบสมุทรคัมซักกาและวลาดิวอสต็อก และได้ปฏิบัติตามคำร้องขอของประเทศเวเนซุเอลาและคิวบา ส่งกองเรือเข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่สองประเทศนั้น ซึ่งก็คือประตูหลังบ้านทางด้านใต้ของสหรัฐนั่นเอง
ในระยะเดียวกันนั้นจีนก็ได้จัดตั้งกองเรือบรรทุกเครื่องบินและเสริมนาวิกกานุภาพครั้งใหญ่ที่สุด เรือดำน้ำทุกประเภทใหญ่เล็กของจีนก็ได้ไปป้วนเปี้ยนอยู่แถบฝั่งตะวันตกของสหรัฐ รวมทั้งเส้นทางเดินเรือทั้งสามเส้นทางจากสหรัฐมายังโอกินาว่า
และได้ถือโอกาสที่สหรัฐเคลื่อนกองเรือเข้าไปที่ทะเลจีนใต้บ่อยครั้งขึ้นก็ได้สร้างเกาะเทียมขึ้นในทะเลจีนใต้และได้ใช้เป็นฐานที่มั่นในทะเลจีนใต้ ที่มีอานุภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในแปซิฟิก
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงสิ่งที่ไม่แน่ชัด นั่นคือการปล่อยเรือดำน้ำของเกาหลีเหนือลงทะเลออกแปซิฟิกจำนวนถึง 65 ลำ เมื่อครั้งที่อ้างว่าเกาหลีใต้ไปตั้งลำโพงขนาดใหญ่ทำการโฆษณาให้เป็นที่หนวกหูของท่านผู้นำคิม และเกิดความตึงเครียดขึ้น จากนั้นเกาหลีเหนือก็ได้ปล่อยเรือดำน้ำจำนวน 65 ลำ ออกสู่แปซิฟิก เมื่อหักกับจำนวนที่จมลงโดยอุบัติเหตุ 1 ลำจึงคงเหลืออีก 64 ลำ ซึ่งไม่มีใครทราบว่าอยู่ที่ไหน
สภาพการณ์ดังกล่าวนั้นหากคิดพิจารณาในเชิงวางกลหมากล้อมก็จะเห็นได้ชัดว่าพื้นที่สามทะเล พื้นที่สามช่องแคบ และพื้นที่ช่องแคบพิเศษไต้หวัน รวมทั้งพื้นที่สามเส้นทางเดินเรือ ที่สหรัฐเคยขับเคลื่อนกองเรือได้อย่างสะดวกดายและปลอดภัยมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
และความไม่ปลอดภัยหรือความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้นจนสุดคณานับหรือสุดหยั่งคาด ซึ่งในทางการทหารถือว่าสภาพเช่นนั้นเป็นอันตรายร้ายแรงดังเช่นเหตุการณ์ที่เรือดำน้ำขนาดใหญ่ของจีนไปปรากฏตัวขึ้นที่ฝั่งตะวันตกของแคลิฟอร์เนีย ในขณะที่ประธานาธิบดีโอบามาเดินทางไปตรวจราชการที่แคลิฟอร์เนีย โดยไม่มีการจับสัญญาณได้ก่อน
หรือเมื่อครั้งที่เรือดำน้ำขนาดใหญ่ของจีนคือเรือดำน้ำชั้นซ่ง โผล่ขึ้นในท่ามกลางการเคลื่อนตัวของกองเรือที่ 7 ของสหรัฐในแปซิฟิก โดยไม่มีการจับสัญญาณใดๆ ได้เลย และเป็นเหตุให้สหรัฐต้องตรวจสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่จนพบว่าอย่างน้อยอาวุธยุทโธปกรณ์ 1.5 ล้านชิ้น ได้ผลิตในประเทศจีน ดังที่เป็นข่าวฮือฮามาแล้ว
และถ้าหากมองในเชิงกลยุทธ์หมากล้อมก็พอจะเห็นเค้าโครงได้ว่าแสนยานุภาพของกองเรือที่ 7 แห่งแปซิฟิกกำลังตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมแห่งค่ายกลดังกล่าว และนี่อาจเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐต้องพิจารณายกเลิกการให้ความคุ้มครองญี่ปุ่นก็ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี