ปัญหาใหญ่ที่สุดทางด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเร่งหาทางแก้ไขให้เกิดความเป็นรูปธรรมอย่างเร่งด่วนมากที่สุดก่อนที่จะแก้ไขปัญหาอื่นๆ ก็คือแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งมากผิดปกติ ซึ่งการที่ค่าเงินบาทแข็งแบบเหลือกำลังเช่นนี้แทนที่จะเป็นผลดีกับประเทศไทยกลับกลายเป็นผลเสียมากกว่าเพราะบาทแข็งแบบนี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติเอามากๆ ผู้ที่จะต้องหาทางแก้ไขโดยตรงก็คือ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังคนใหม่ดร.อุตตม สาวนายน นั่นเอง
ลองมาเปรียบเทียบค่าเงินบาทในระยะเวลา 12 เดือน หรือ 1 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นมากแบบผิดปกติเริ่มจากต้นเดือนกรกฎาคม 2561 ค่าเงินบาทเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับต้นเดือนกรกฎาคม2562 จะปรากฏว่าค่าเงินบาทแข็งค่าดังนี้ เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ปี 2561 เท่ากับ 33.10 บาท มาเดือนกรกฎาคม 2562 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 30.40 บาท ปรากฏว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 2.70 บาท หรือร้อยละ 8.15 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนก่อนในต้นเดือนมกราคม 2562 เท่ากับ 32.00 บาท เงินบาทแข็งค่าขึ้น 1.60 บาท หรือร้อยละ 5
หากนำมาเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับค่าเงินสกุลหลักที่ไทยค้าขายอยู่จะปรากฏผลเทียบได้ดังนี้ เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ 1 ปอนด์ เมื่อกรกฎาคม 2561 เท่ากับ 43.30 บาท กับเดือนกรกฎาคม 2562 เท่ากับ 38.00 บาท ค่าเงินบาทแข็งขึ้น 5.30 บาท เงินบาทแข็งขึ้นร้อยละ 12.24 หากนำไปเทียบระยะ 6 เดือน ที่ 1 ปอนด์ เท่ากับ 40.67 บาท เงินบาทจะแข็งค่า 2.67 บาทหรือร้อยละ 6.56
มาเปรียบเทียบค่าเงินยูโรบ้าง เดือนกรกฎาคม 2562 1 ยูโร แลกได้ 34.15 บาท ปีที่แล้ว 1 ยูโร แลกได้ 38.25 บาท มีผลต่างเท่ากับ 4.10 บาท ปรากฏว่า 1 ยูโร แข็งในรอบปี ร้อยละ 10.71 ทีเดียว ส่วนการเปรียบเทียบระยะ 6 เดือน ปรากฏว่าต้นปี 2562 เงิน 1 ยูโรเท่ากับ 36 บาท เทียบแล้ว 6 เดือน ยูโรอ่อนลง 1.85 บาท ค่าบาทแข็งขึ้นร้อยละ 5.14 การเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับเงินเยนของญี่ปุ่นและเงินหยวนเองก็จะพบว่าค่าเงินบาทแข็งมากเช่นเดียวกัน
ผลของการที่ค้าบาทแข็งมากเช่นนี้ส่งผลให้สินค้าออกของไทยมีราคาแพงมากขึ้น ทำให้ยอดการส่งออกลดปริมาณลงแถมราคาสินค้าพืชผลทางด้านเกษตรกรรมของไทยก็จะแพงมากในตลาดโลก การส่งสินค้าเกษตรออกไปจะลำบากมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับสินค้าอุตสาหกรรมของไทยทุกชนิดราคาก็จะสูงการส่งออกจะลดลงแม้ผู้ผลิตในไทยจะลดราคาก็ตามมีการประเมินว่ายอดส่งออกของไทยในปี 2562 น่าจะลดลงหรือเพิ่มเพียงร้อยละ 3 เป็นอย่างมาก
รายได้หลักอีกประการของไทยก็คืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ทำรายได้ให้ไทยปีละ 50,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยปีละ 40 ล้านคน ผลปรากฏว่า6 เดือนแรกของปี 2562 ปริมาณนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้ามาไทยลดลง โดยเฉพาะช่วงปลายเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม 2562 ปริมาณลดลงแบบฮวบฮาบ โรงแรมในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวมีห้องว่างเป็นจำนวนมาก แม้จะมีการลดแลกแจกแถมปริมาณนักท่องเที่ยวก็ยังลดถึงขนาดเจ้าของโรงแรมที่พักในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่เมืองพัทยา ชลบุรี ภูเก็ต กระบี่ พังงาประกาศขายโรงแรมต่างๆ นับร้อยโรงแรมเลยทีเดียวเพราะทนรับการแบกภาระไม่ไหวจากค่าใช้จ่ายประจำ
การแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นภาระเร่งด่วนนั่นคือรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยต้องทำให้ค่าเงินบาทลดลงมาหรือในอัตราเท่ากับปีที่แล้วคือ 1 ดอลลาร์สหรัฐแลกได้ 34 บาท ไม่ใช่ 30 กว่าบาท นักวิชาการธนาคารอธิบายว่าวิธีแก้ไขทำได้ง่ายกว่าค่าเงินบาทอ่อนนั่นคือประเทศไทยมีเงินทุนสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศมากถึง 220,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าจะใช้วิธีให้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจชำระหนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นในปีนี้เพื่อให้เงินทุนสำรองมีน้อยลงเหลือประมาณ 180,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
วิธีการอื่นๆ ก็คือการให้นักธุรกิจไทยและรัฐวิสาหกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา, สปป.ลาว, เวียดนาม และกัมพูชา ก็จะทำให้เงินตราสำรองเงินสกุลต่างประเทศไหลออกไปเพิ่มลดแรงเพิ่มของค่าเงินบาทไปในตัว
ส่วนภาครัฐบาลเองโดยเฉพาะโครงการจัดซื้อฝูงบินฝูงใหม่ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) นั้นรัฐบาลน่าจะเร่งดำเนินการเพื่อให้มีกระแสเงินสำรองไหลออกไปเช่นเดียวกระทรวงกลาโหมที่มีแผนจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ ก็น่าจะมีผลให้เงินต่างประเทศของไทยที่มีอยู่ลดปริมาณลงได้เป็นอย่างดีซึ่งจะทำให้เงินบาทมีค่าลดลงไม่แข็งมากเหมือนทุกวันนี้
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี