เมื่อครั้งที่ ช่อ-นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ชุดที่สวมใส่เข้าประชุมสภา ว่าเป็นสีขาว-ดำ หรือไม่ เฟซบุ๊ค ที่ใช้ชื่อ “The hippo” ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพของพรรณิการ์ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2562 ข้อความ แบบถามตอบ ไว้ว่า
ถาม : เป็นคนมีภาพลักษณ์ลุยๆ แบบนี้ มุมไหนที่เป็นผู้หญิงบ้าง?
“เป็นคนชอบแต่งตัวนะ ในขณะที่ยังต้องยุ่งเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ดิฉันก็สามารถหาเวลาไปลองชุดที่ POEM ได้ ชุดเปิดประชุมสภา, ชุดเลือกประธานสภา, ชุดเลือกนายกฯ เราก็ยังพอมีเวลาไปหาชุดของเรา เช่น ธนาธรโทรตาม ถาม “คุณอยู่ไหน” เราก็เอ่อ “ยะ…อยู่ ปทุมวันปริ้นเซส” “ไปทำอะไรที่นู่น” “มาตัดชุด” ทางนั้นก็เงียบไปแปบนึงพูดต่อไม่ออก (หัวเราะ) ธนาธรเข้าไม่ถึงเรื่องนี้ค่ะ เขาก็จะเงียบไปแปบนึงแล้วก็คุยเรื่องงานต่อ”
ถาม : อย่างนั้นในอนาคตเราจะถูกพูดถึงในด้านแฟชั่นแห่งสภาไหม?
“ก็…ไม่ได้เป็นคนที่ถ่อมตัวอะไรนะคะ แต่ว่าเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่สายตาของคนมองอะค่ะ ชุดที่ดิฉันคิดว่าสวยข้าราชการที่สภาอาจจะนินทา แต่บางทีนะคะ พูดจริง ๆ เครียดเหมือนกัน…เพราะว่าสภาเป็นที่ที่อนุรักษ์นิยมมาก อย่างเราไปลองชุดPOEM อย่างเนี้ย ชุดเขาก็คอลึก เราก็รู้สึกว่าคอลึกไปสงสัยจะไม่ได้ หรือผ่าสูงไปคงจะไม่ได้ แต่เราจะค่อยๆ Educate สภานะคะ ว่าการแต่งตัวที่ดีและการแต่งตัวที่เปิดเผยเรือนร่างเล็กๆ น้อยๆ ของผู้หญิงนั้นเป็นอย่างไร เราก็จะค่อยๆ ทำตรงนี้ไปนอกเหนือจากงานการเมืองแล้ว ชะนีไหมคะ?”
อ่านดูแล้วก็เห็นสองอย่างที่ชัดมากๆ คือ เป็นคนรักสวยรักงามมาก กับเป็นคน “มั่นใจในตัวเอง” มาก
แน่นอน ต่อมาเธอก็ถูกวิจารณ์เรื่องการแต่งตัวอยู่เรื่อยๆ ขนาด ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ถูกเรียกว่า “ซ้อจึง” คนเคยรักกันยังแสดงความเห็นว่า “เอ่อ เยอะค่ะ ล้น ท่วม ทั้งแบบ เนื้อผ้า และสีนี่ไม่นับว่าทรงผมนั้น ดูรูปแล้วเอามือทาบอก” กับอีกชุดที่ถูกสตรีสูงวัยท่านหนึ่งบอกว่า “จะมาระบำเทพธิดาดอย”
จนล่าสุด ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะประเด็น “ไม่รู้กาลเทศะ” คือการใส่ชุดผ้าลูกไม้กับซิ่นมาประชุมสภา เช่น “เอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์” สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ก็ได้แสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวว่า “ความหวังอยู่ที่ท่านประธานฯชวน นักเรียนมาโรงเรียนก็มีกฎระเบียบ สภาก็ควรจะรักษากฎระเบียบ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกาย ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ควรมิควร ได้โปรดพิจารณาค่ะ”
พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว และอินสตาแกรมส่วนตัวโดยมีข้อความระบุว่า “เห็นข่าวเรื่องการแต่งตัวของสมาชิกผู้ทรงเกียรติบางคน สะท้อนให้เห็นว่าคนเหล่านั้นยังไม่เข้าใจความแตกต่างของสถานภาพของตัวเอง ระหว่างการเป็นนักกิจกรรม กับการเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยที่จำเป็นต้องมีวุฒิภาวะ สรุปง่ายๆ คือไม่รู้จักกาลเทศะนั่นเองครับ เรื่องแค่นี้ยังแยกแยะไม่ออก แล้วเรื่องสำคัญกว่านี้จะฝากความหวังอะไรได้ #ไม่พูดเยอะเจ็บคอ
ส่วนผมได้วิจารณ์ไว้ว่า “มองเรื่องนี้ยังไงดี” 1) มองที่ตัวระเบียบก่อน เนื่องจากระเบียบอยู่ระหว่างการร่าง จึงยึดเอาแนวการปฏิบัติในอดีตมาพิจารณา จะพบว่า สส.คือตำแหน่งที่เรียกว่า “ข้าราชการการเมือง” ซึ่งมีระเบียบและความพร้อมเพรียงให้ปฏิบัติ โดยยึดหลักสุภาพและข้อกำหนดเป็นสำคัญ ที่ผ่านมากำหนดให้แต่งกาย“สากล” จึงสวมสูทมาประชุมสภากันถ้วนหน้า และเลือกสีสุภาพ คือ ดำ หรือน้ำเงิน เป็นหลัก
2) มองที่ตัวบุคคล คนคนนี้ชอบ “ความโดดเด่น” มากกว่า “ความกลมกลืน” เป็นหมู่คณะอยู่แล้ว การแต่งกายเช่นนี้เป็น “ความจงใจ” และ “นัดหมาย” กันมา เพื่อให้เป็น “ประเด็น” โดยประเด็นที่เธอทวีตว่า “เพราะความเป็นไทยไม่ได้มีแค่แบบเดียว #อนาคตใหม่ อยากทำให้สภาเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เราจะพยายามแต่งกายด้วยชุดที่หลากหลาย นำผ้าจากแต่ละภูมิภาคเข้ามาสู่สภา และยังเป็นการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นด้วย” นั้น ไม่มีอะไรผิด ถึงขั้นจะต้องด่าทอกัน แต่ก็ไม่มีอะไร “เด่น” เป็นสาระถึงขั้นต้อง “ยกยอ”
3) การเป็น “ผู้แทนราษฎร” ที่มี “สาระลุ่มลึก” กว่านี้ ในวาระการประชุมที่ให้ สส. เอาความทุกข์ เอาปัญหาของประชาชนมาปรึกษาหารือกันในสภา และส่งเรื่องต่อไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง เธอควรมาพร้อม “สาระ” ว่า ขณะนี้มีประชาชนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ประสบปัญหา “ความล่าช้า” ในการพิสูจน์สัญชาติและ “ให้สัญชาติ” ซึ่งทำให้เขาเหล่านั้นขาดโอกาสในการได้รับ “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ทั้งการศึกษา การรักษาพยาบาล และการทำงาน อยากหารือท่านประธานไปยังกระทรวงมหาดไทย ว่าควรมีแผนและกำหนดระยะเวลาที่จะทำเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ในขณะเดียวกัน เราควรส่งเสริม “เอกลักษณ์-อัตลักษณ์” ของกลุ่มชาติพันธุ์และประชาชน ด้วยการส่งเสริมการแต่งกาย ประเพณี และวิถีชีวิตให้โดดเด่นขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความหลากหลาย ซึ่งมีความหมายถึงความรุ่มรวยในทางศิลปวัฒนธรรมที่ควรภาคภูมิใจและควรได้รับการกระตุ้น ส่งเสริม ให้ยังคงอยู่ และมีศักดิ์ศรีทัดเทียมกัน ไม่ใช่แค่แต่งตัวมาเดินให้สื่อถ่ายรูป และหมุนตัวโชว์ ตามที่สื่อร้องขอ ซึ่งเป็นเรื่องของ “เปลือก” และความผิวเผิน
4) ในเรื่องนี้ รอการตัดสินใจของ “ประธานสภา” ว่าจะอนุญาตให้มีการแต่งชุดไทยๆ หรือชุดพื้นเมือง เข้าประชุมสภาได้หรือไม่ ซึ่งโดยส่วนตัว ผมไม่เห็นเหตุผลใดที่จะไม่อนุญาต เพียงแต่ต้องกำหนดวันเพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียง สวยงาม มากกว่าสภาที่ดู “เขรอะ” ไป ด้วยการแต่งกาย “ตามอำเภอใจ” หรือตามความสะดวกความรักชอบ ของแต่ละคน
5) เนื่องจากเขาไม่ใช่ “นางงาม” จึงไม่ต้องไปวิจารณ์ “ความงาม” ของเขา ไม่ว่าจะก้น คอ คาง เขาเป็น สส. เรามีหน้าที่บอกกับเขาว่า สส. ที่ดีต้องทำอะไร และที่ประชุม สส. คือ “สภา” มีระเบียบอย่างไร ก็ให้ปฏิบัติไปตามนั้น ประเด็นมีแค่นี้เอง ชอบไม่ชอบเป็นเรื่องในใจของแต่ละคนครับ แต่ไม่ใช่ประเด็นในการวิพากษ์วิจารณ์
ในที่สุดก็นำมาสู่การต้องหาข้อสรุปในเรื่อง “การแต่งกาย” นี้โดย นายสุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง กรณีการแต่งกายเข้าประชุมของสส.ว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ โดยได้เชิญนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มาหารือเพื่อกำหนดแนวทางการแต่งกายที่เหมาะสมของสส. ซึ่งเดิมได้กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาฯว่า สส.ควรแต่งชุดสากลนิยมหรือชุดพระราชทานหรือชุดที่ประธานสภากำหนด ซึ่งขณะนี้ข้อบังคับการประชุมสภาชุดใหม่ได้ร่างเสร็จแล้วและจะบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมในสัปดาห์หน้าโดยจะได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาอภิปรายกันเพื่อหาข้อสรุปที่เหมาะสมเพื่อเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์อันดีของสภาผู้แทนราษฎรและเป็นแบบอย่างของสังคมต่อไป
สรุป :: เป็นช่อเองที่ต้อง Educate ในหลายๆ เรื่อง นอกจากการแต่งกายที่หมายจะเป็น “จุดเด่น” และ “ท้าทาย” ซึ่งไม่ใช่การ Educate ใครเลย ช่อหันมา Educate การเข้าสังคม กาลเทศะ การอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก และการทำหน้าที่ สส. ตามแก่นแท้ของมัน ดีกว่ามาลุ่มหลงอยู่กับแพรพรรณที่เป็นเรื่อง “เปลือก” จะดีกว่า
ปัญหาของพรรคอนาคตใหม่ก็คือ มีแค่ 3 คนเท่านั้น ที่อยู่ใน “พื้นที่สื่อ” คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค, ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาฯพรรค และช่อ ซึ่งเป็นโฆษกพรรค อันมี “เนื้อหา” อยู่แค่ “ประชาธิปไตย-เผด็จการ-รัฐประหาร” ไม่เปิดประเด็นสื่อสารเรื่องปัญหาทุกข์ยากของประชาชนที่มีเนื้อหา “หนักแน่น” พอ โดยไม่ถูก “ตอกกลับ” อย่างเรื่อง “ประมง” แถมพักหลังๆ ช่อไม่ได้ทำหน้าที่โฆษกพรรคเสียแล้ว แต่เป็น “โฆษกตัวเอง” ช่อจึงเป็นโฆษกที่ “บกพร่อง” จึงควร Educate เรื่องการเป็นโฆษกพรรค เพื่อสร้างภาพลักษณ์และภาพจำที่ดีให้แก่พรรคอนาคตใหม่โดยด่วน
ระหว่างที่สามคนนี้ สาละวนอยู่กับตัวเอง อยู่กับการให้ความรู้ด้านกฎหมายของปิยบุตรที่ผิดพลาดมาไม่รู้ตั้งกี่เรื่อง และเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ในการพิจารณา ญัตติด่วนขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งกรรมาธิการวิสามัญแก้ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.พรรคอนาคตใหม่ แบบบัญชีรายชื่อ กลับทำหน้าที่ สส. ได้ “ดีมาก” โดยมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับสภา ด้วยการอภิปรายปัญหาของประเทศ โดยเขากล่าวว่า ขอแบ่งการอภิปรายเรื่องการแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ระยะกลาง และยาว ซึ่งข้อมูลที่ใช้อภิปรายนั้นมาจากสำนักเศรษฐกิจการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลเดียวกับสำนักวิชาการเตรียมให้กับ สส. หากแต่ตนพยายามใช้ราคาที่อัพเดทและเปรียบเทียบมากกว่า 1 ปี เพื่อให้เห็นภาพรวมของวงจรสินค้าเกษตร
1.ระยะสั้น - ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำคงหนีไม่พ้นเรื่องฤดูกาล การลักลอบ การนำเข้าจากต่างประเทศ และการเอารัดเอาเปรียบพ่อค้า เหล่านี้กดราคาพืชผลเกษตรอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างพืชผลที่จะออกเร็วๆ นี้ อย่าง เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย และสับปะรด ล้วนมีปัญหาสรุปได้ประโยคเดียว คือ ผลไม้ไทยในเงาล้งต่างประเทศ เช่น ลำไย จริงอยู่ว่ามีการสนับสนุนให้มีการปลูกนอกฤดู ใช้สารเร่งให้ออกนอกฤดูเพื่อพยุงราคาให้มีเสถียรภาพ แต่อย่างไรก็ตามในการส่งออก เกษตรกรก็ต้องพึ่งล้ง
ต่างประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสให้ล้งต่างประเทศเอาเปรียบเกษตรกรได้ ลำไยนั้นมีหลายเกรด ราคาต่างกันตั้งแต่ 25-40 บาท แต่ตราบใดที่ภาครัฐไม่เข้าไปช่วยเหลือ ล้งต่างประเทศมีวิธีคละเกรดและกดราคา ซึ่งพี่น้องเกษตรกรไทยไม่มีความสามารถต่อรองในการทำธุรกิจด้วยได้ ทั้งนี้ มีคดีความระหว่างเกษตรกรกับล้งต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ เรื่องนี้พาณิชย์จังหวัดเกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ ต้องไปเข้าไปช่วยเหลือ
ในส่วนของการลักลอบ หนีไม่พ้นเรื่องของราคามะพร้าว ซึ่งปัจจุบันลูกละ 5 บาท จากแต่เดิมเคยราคาสูงถึงลูกละ 21 บาท เรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์ยอมรับว่าเป็นเพราะการลักลอบนำมะพร้าวเถื่อนเข้ามา รวมถึงการนำเข้ามะพร้าวตามโควตา WTO อีกทั้ง การตกสำรวจพื้นที่ปลูก ทำให้เราไม่รู้ว่ามะพร้าวมีอุปทานเท่าไหร่ หรือปัญหาประมง สัตว์น้ำจากต่างประเทศที่ถูกลักลอบนำเข้ามาในสินค้าประมงไทยมีมากกว่า 30-40 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้เป็นปัญหาระดับปฏิบัติ ไม่ใช่ระดับนโยบาย ดังนั้น ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ ศุลกากร ต้องเพิ่มการตรวจอย่างเข้มแข็งก็จะสามารถช่วยบรรเทาได้
2.ระยะกลาง - เป็นเรื่องของดุลยภาพและการกระจายความเสี่ยงโดยดุลยภาพคือความสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ ทั้งนี้ ด้านอุปทานการเกษตรไทยนั้นพัฒนาแบบพืชเชิงเดี่ยวมาตลอด พืชเศรษฐกิจ 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว มัน ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และอ้อย ใช้พื้นที่ปลูกรวมกันสูงถึง 82 เปอร์เซ็นต์ และมีการกระจุกตัวกันของพื้นที่ มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนต่ำ ขาดความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซีย เวียดนาม ได้เปลี่ยนความกระจุกและกระจายความเสี่ยงออกไป โดยมีความหลากหลายมากขี้นในการปลูก เขามีเรื่องการปลูกพืชสมุนไพร ปลูกป่าไม้ ซึ่งมีราคาสูงกว่า
ด้านอุปสงค์ ความกระจุกตัวนี้ยกตัวอย่างผลไม้ เช่น ทุเรียนและยางพารา สินค้าทั้ง 2 ประเภทนี้ราคาต่างกัน ตัวหนึ่งราคาขึ้นส่วนอีกตัวราคาตกแต่มีข้อเหมือนกันนั่นคือ การพึ่งตลาดเพียงตลาดเดียวคือ จีน ซึ่งสูงถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์ บางคนอาจจะแย้งว่ามีการส่งไปเวียดนามด้วย แต่ถ้าลงไปในไปพื้นที่ถามเกษตรกรจะพบว่า การที่เราส่งไปเวียดนามนั้นเพื่อได้ประโยชน์ภาษี ดังนั้น เรื่องนี้ทูตพาณิชย์ต้องเร่งเปิดตลาดใหม่ให้ประเทศไทย เช่นตลาดอย่างตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ต้องสอนการส่งออกไปสู่ประเทศเหล่านี้ เพราะถ้าสงครามการค้าระหว่างจีน - อเมริกาไม่จบ โครงการวันโร้ด วันเบลท์ ของจีนเกิดขึ้นเต็มรูปแบบ รับรองได้เลยว่าสินค้าอย่างทุเรียนจากมาเลเซีย ซึ่งได้รับความนิยมจากจีนเข้าไปแน่นอน ซึ่งเป็นไปได้ที่เราจะถูกกดราคาในอนาคต
3.ระยะยาว, เป็นการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าโดยวิทยาศาสตร์และศิลปะ ทั้งนี้ ในส่วนของวิทยาศาสตร์ เราพูดเรื่องการแปรรูปสินค้าเกษตรมากว่า 20 ปี แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ควรจะเป็น คือ ต้องเกิดการแปรรูปในพื้นที่และข้ามอุตสาหกรรม ต้องมีโรงงานแปรรูปในท้องถิ่นเพื่อลดการขนส่ง ไม่ใช่ว่าปลูกมะพร้าวที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แล้ววิ่งไปส่งแปรรูปที่ จ.นครปฐม ส่วนการแปรรูปข้ามอุตสาหกรรม ขอยกตัวอย่าง ข้าว 1 เม็ด วันนี้เป็นข้าวสาร 40 เปอร์เซ็นต์ หากแต่ยังมีแกลบ รำข้าว อยู่ด้วย ซึ่งแกลบเอาไปเผาทำโซลาร์เซลล์ได้ รำข้าวสามารถสกัดทำน้ำมันรำข้าวตลอดจนมีสารช่วยป้องกันโรคเบาหวานซึ่งขายกิโลกรัมละ 4,000-5,000 บาท หรือเปลือกทุเรียนสามารถทำน้ำยาบ้วนปากยับยั้งแบคทีเรียได้ มังคุดมีสารต้านอนุมูลอิสระ หลายท่านอาจไม่ทราบว่าตอนนี้มีบริษัทจากออสเตรเลียบินมาเอาเมล็ดทุเรียนไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เป็นต้น เราจะเห็นได้ว่าประเทศอื่นทำน้อยแต่ได้มาก หากแต่เราทำมากและได้น้อย ซึ่งแบบนี้ไม่สามารถพัฒนาได้ในอนาคต
นอกจากนี้ ต้องคิดถึงเรื่องงบวิจัยการเกษตร ซึ่งปัจจุบันมีตัวเลขไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ในการชดเชยข้าวต่อปีเราใช้เงิน 1 แสนล้านบาท แต่งบประมาณในการทำวิจัยเกษตร ใช้เพียง 1 พันล้านบาทเท่านั้น อย่างนี้แล้วจะเป็นมหาอำนาจได้อย่างไร ถ้าไม่มีการวิจัยเกิดขึ้นในประเทศ นอกจากนี้ยังมีเรื่องวัฒนธรรม ศิลปะ การกินดื่มของเราก็ไม่แพ้ใคร ในที่นี้ถ้าเราเดินไปเข้าร้านสะดวกซื้อเบียร์ 1 กระป๋อง นั่นคือ การสนับสนุนเกษตรกรออสเตรเลีย ยุโรป, ซื้อ ไวน์ 1 ขวด นั่นคือ การสนับสนุนเกษตรกรออสเตรเลีย ฝรั่งเศส ชิลี ซื้อโซจู1 ขวด นั่นคือ การสนับสนุนเกษตรกรเกาหลี หรือ ซื้อสาเก เหล้าบ๊วย 1 ขวด นั่นคือ การสนับสนุนเกษตรกรญี่ปุ่น เป็นต้น ในขณะที่พืชผลเกษตรไทย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเหนียว เกสรมะพร้าว มันแกว ข้าวโพด รวมถึงผลไม้ต่างๆ ที่ทำเป็นไซเดอร์ กลับแปรรูปและทำไม่ได้เนื่องจากเหตุผลทางกฎหมายบางอย่าง
พูดให้ชัดตรงนี้ว่า การสนับสนุนให้แปรรูปผลิตผลเกษตรเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้เท่ากับสนับสนุนให้มีการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังมีอยู่ การดื่มอย่างเหมาะสมและมีความรับผิดชอบคือเรื่องจำเป็น แต่ถ้าไม่เปิดโอกาสเรื่องการแปรรูป เกษตรกรจะไม่มีสิทธิ์เพิ่มมูลค่าสินค้าตัวเองในระยะยาวได้เลย
จากที่อภิปรายมาทั้งหมด นั้นก็เพื่อสนับสนุนให้มีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญให้ศึกษาราคาพืชผลการเกษตร และจากที่ตนติดตามการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาทุกครั้งก็จะเห็นว่ามีการเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการชุดนี้ ซึ่งในอนาคต ก็หวังว่าจะเปลี่ยนชื่อกรรมาธิการเป็นคำว่า ราคาและประสิทธิภาพแทน เพราะประสิทธิภาพเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ ทำให้สามเหลี่ยมนี้พลิกกลับได้
สส.ที่รู้หน้าที่และทำหน้าที่ “อย่างสร้างสรรค์” แบบนี้ ทั้งหัวหน้าพรรค เลขาฯพรรค และโฆษกพรรค กลับไม่เคยผลักดันให้เป็น “จุดเด่น” ของพรรคเลย เหมือนกลัวคนอื่นจะดังกว่า
ยังไงไม่รู้!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี