ประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งกว่า 1 ล้านคน เมื่อรวมญาติพี่น้องที่ต้องร่วมทุกข์ทรมานจากการดูแลรักษาผู้ป่วยและร่วมเดือดร้อนกับผู้ป่วยมีจำนวนกว่า 10 ล้านคน ในจำนวนผู้ป่วยเหล่านี้มีสถิติว่าได้เสียชีวิตวันละประมาณ 266 ศพ และในแต่ละปีก็มีผู้เสียชีวิตกว่าแสนศพ
ผู้ป่วยเป็นมะเร็งมีวิธีการรักษาด้วยเคมีบำบัดคือการฉีดคีโมเป็นพื้น ค่าฉีดคีโมตกเข็มละประมาณ 100,000 บาท หรือเฉลี่ยต่อหัวประมาณหัวละ 1 ล้านบาท
และ 94% มีสถิติว่าตาย มีโอกาสรอดเพียง 6% เท่านั้น และในจำนวนที่รอดก็ปรากฏว่าในระยะ 2-3 ปี มะเร็งก็จะฟื้นคืนกลับมาใหม่ และในที่สุดก็เสียชีวิต
ดังนั้นหลังจากความจริงปรากฏขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วโลกว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด และกัญชายังเป็นยาที่เป็นทั้งยาแผนโบราณและแผนปัจจุบัน มีอานุภาพสูงในการรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดได้ แม้ว่าในบางครั้งรักษาเยียวยาไม่ทันการณ์เพราะผู้ป่วยมีอาการหนักมาก ไม่อาจฟื้นคืนกลับปกติได้ ก็จะเสียชีวิตด้วยอาการอันสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน
เพราะกัญชาที่ใช้ในการรักษามะเร็งนั้นจะมีสารพิเศษอยู่สองชนิด คือ สาร CBD และสาร THC โดยสาร CBD นั้นมีคุณสมบัติในการผ่อนคลาย ช่วยการนอนหลับ และช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ส่วน THC เป็นสารธรรมชาติที่สามารถกำจัดและทำลายเชื้อมะเร็งได้โดยตรง โดยวิถีทางแห่งธรรมชาติ เพราะเป็นสารที่สามารถทำให้เซลล์ของมะเร็งไม่สามารถดูดกินอาหารได้และต้องตายไปในที่สุด
นอกจากนั้น สารสกัดจากกัญชาหรือแม้แต่กัญชาสดหรือกัญชาแห้ง ทั้งกิ่ง ทั้งก้าน ทั้งใบ ทั้งดอก ทั้งราก ก็เคยเป็นยาสมุนไพรไทยมาช้านาน และปรากฏในคัมภีร์อมฤตโอสถในพระองค์เจ้าอมฤตในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่ามีคุณสมบัติที่จะรักษาสมมุติฐานของโรคได้ถึง 400 ชนิด
รวมความว่าตามคัมภีร์อมฤตโอสถนั้นได้แสดงโดยแจ้งชัดว่ากัญชาเป็นตัวยาหลักที่รักษาตรงสมมุติฐานของโรคให้หายขาดสิ้นเชิงได้ถึง 400 ชนิด และในเวลานี้ก็เป็นที่ยอมรับนับถือโดยทั่วไปแล้วว่านอกจากการใช้สารสกัดจากกัญชารักษามะเร็งแล้ว ยังสามารถใช้ในการรักษาโรคพาร์กินสัน โรคลมชัก โรคความดัน โรคไต โรคเบาหวาน โรคซึมเศร้า โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนัง รวมทั้งโรคริดสีดวงทุกชนิดอีกด้วย
ครั้นความจริงปรากฏขึ้น บรรดาแพทย์เภสัชและนักวิชาการตลอดจนปราชญ์ชาวบ้านทุกสาขาก็ได้พากันขยายความรู้ความเข้าใจนี้ออกไปอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งชาวโซเชียลมีเดียทุกหมู่เหล่าที่หลายหมู่หลายเหล่าก็มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่พอมาถึงเรื่องนี้กลับสามัคคีกันอย่างแน่นแฟ้น และมีความปรารถนาเป็นอย่างเดียวกัน
คือต้องการให้มีการปลดล็อกกัญชา ให้ใช้กัญชาได้โดยเสรีในการรักษาความเจ็บป่วย
แต่เพราะเหตุที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าเรื่องกัญชานั้นตั้งแต่กระบวนการปลูก สกัด แปรรูป จำหน่าย และส่งออก ล้วนเป็นผลประโยชน์ล้ำค่าที่ควรตกได้แก่ประเทศชาติและประชาชน แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เพราะได้เกิดขบวนการที่จะยกทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของชาติดังกล่าวให้แก่ต่างชาติ ถึงกับนักการเมืองดังเดินทางไปเยี่ยมไปเยือนและจะตกลงหารือกันอย่างไรกับบริษัทยาต่างชาติหรือไม่ ก็ยังเป็นเรื่องมืดดำอยู่ในความเคลื่อนไหว รวมทั้งเตรียมการที่จะยกทรัพย์สมบัติอันล้ำค่านี้เฉลี่ยเป็นส่วนให้แก่เจ้าสัวทั้งหลายด้วย
ขบวนการดังกล่าวจึงพยายามทำลายล้างสายพันธุ์กัญชาไทยซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดของโลก และพยายามกวาดจับทำลายทุกรูปแบบ แต่แม้กระนั้นความตื่นตัวและความต้องการของประชาชนโดยเฉพาะความจำเป็นที่ต้องใช้ในการรักษาความเจ็บป่วยก็ขยายตัวไปทั่วประเทศ กลายเป็นว่าจะจับก็จับกันไป แต่ผู้เดือดร้อนทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้าก็ยังคงต้องแสวงหาทางรอดของชีวิตอยู่ต่อไป และกำลังกลายเป็นปัญหาขัดแย้งใหญ่ของประเทศที่กำลังลุกลามยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง
ประชาชนได้ตื่นรู้ขึ้นว่าความพยายามที่จะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเรื่องนี้ 3-4 ฉบับในช่วงก่อนเลือกตั้ง แท้จริงก็แค่มายาภาพเพียงเพื่อเตรียมการที่จะยกสมบัติชาติอันยิ่งใหญ่นี้ให้แก่ต่างชาติและเจ้าสัวเท่านั้น มิได้มีเจตนาที่จะให้ประชาชนได้ปลูกและใช้ดังที่อวดอ้างนั้นเลย
ความจริงแล้วสิ่งที่เป็นเกาะแก่งขัดขวางไม่ให้ประชาชนเข้าถึงและใช้กัญชาในการรักษาความเจ็บป่วยนั้นมีอยู่สามภูเขาใหญ่
ภูเขาใหญ่ที่กีดขวางลูกแรก คือกฎหมายยาเสพติด ในความดูแลของกระทรวงยุติธรรม และมี ป.ป.ส. เป็นหน่วยปฏิบัติในการปราบปราม จะต้องทำลายภูเขานี้ให้ได้ โดยการเพิ่มเติมแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเพียงแค่มาตราเดียวว่า “การปลูก การแปรรูป การใช้ และการจำหน่ายกัญชาหรือผลิตภัณฑ์จากกัญชาเพื่อการรักษาความเจ็บป่วย ไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติฉบับนี้”
เพียงแค่นี้ประชาชนทั่วประเทศก็สามารถปลูก แปรรูป ใช้ และจำหน่ายกัญชาเพื่อรักษาความเจ็บป่วยได้
ภูเขาใหญ่ที่กีดขวางลูกที่สอง คือคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นผู้พิจารณาอนุญาตให้ใช้กัญชาเป็นอาหารและยาประการใดๆ ซึ่งองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวนั้นล้วนแต่เป็นบุคลากรที่เกี่ยวกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ดังนั้นจำเป็นจะต้องตรากฎหมายหรืออนุบัญญัติใดๆ ให้มีคณะกรรมการอาหารและยาสำหรับพืชสมุนไพรขึ้นเป็นการเฉพาะ ก็จะเป็นการใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญอีกแขนงหนึ่งในเรื่องอาหารและยา
ภูเขาใหญ่ลูกสำคัญ ก็คือกระทรวงพาณิชย์ ที่มีหน่วยงานในการขึ้นทะเบียนและอนุญาตให้ถือสิทธิบัตรกัญชาและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชา ซึ่งขณะนี้มีบริษัท
ต่างชาติและบริษัทของเจ้าสัวยื่นคำขอรออยู่แล้วร่วม 100 ฉบับ
จะต้องทำลายภูเขาลูกนี้ด้วยการวางข้อกำหนดบางประการว่า กัญชาคือทรัพยากรสำคัญของชาติ จะไม่สามารถออกสิทธิบัตรให้แก่ต่างชาติหรือทุนชาติผูกขาดได้โดยเด็ดขาด
ดังนั้นในกระแสการเรียกร้องของประชาชนจึงต้องมุ่งเป้าไปสู่การทำลายภูเขาทั้งสามลูกนี้ จึงจะสามารถปลดล็อกกัญชาเพื่อใช้ในการรักษาความเจ็บป่วยได้จริง ไม่ต้องถูกใครโกหกแหกตาอีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี