นับเป็นเวลากว่า 4 เดือนหลังการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังไม่ลุล่วงเสียที ด้วยเรื่องของเสียงปริ่มน้ำ ทำให้พรรคร่วมบางพรรคเป็นต่อในการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี ตลอดจนเรื่องความขัดแย้งของมุ้งสามมิตรในพรรคพลังประชารัฐที่ดูจะตีรวนจนการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า แต่ไม่ว่าอย่างไร ครม. ชุดใหม่ก็น่าจะเริ่มได้อีกไม่กี่วันนี้แล้ว ซึ่งก็คงถือว่าเป็นที่สิ้นสุดการเจรจาต่อรอง แต่ก็ต้องไปลุ้นต่ออีกทีว่าจะเป็นใครบ้าง?
สิ่งหนึ่งที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจ คือกรณีที่ประธานสภาฯ ได้ส่งคำร้องให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติตัวนายกฯ ตามที่ สส. พรรคเพื่อไทยมีการยื่นคำร้อง ซึ่งภายหลังหากศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้องก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะของพล.อ.ประยุทธ์ แต่จะเป็นประเด็นปัญหาทันทีหากศาลรับฟ้องแล้วตัดสินว่ามีความผิดจริง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในเรื่องของการเลือกนายกฯ คล้ายกับสมัยนายสมัคร สุนทรเวช ที่โดนเรื่องคุณสมบัติแบบเดียวกันนี้ แม้จะเป็นคนละสาเหตุ แต่ก็ทำให้สภาฯ ต้องเลือกนายกฯ คนใหม่ เพียงแต่ต่างกันตรงที่ในครั้งนี้กฎหมายใหม่ ระบุให้นายกฯ ต้องมาจากบุคคลที่มีชื่ออยู่ในแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองที่เสนอชื่อมาก่อนหน้านี้ และเป็นไปตามข้อกำหนดในกฎหมายเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดนายกฯ จากขั้วต่างๆ ทางการเมือง
ตามที่แต่ละพรรคเคยเสนอชื่อไว้ ซึ่งหากเป็นขั้วฝ่ายรัฐบาล หลายฝ่ายก็มองถึงแคนดิเดตของพรรคร่วม 2 พรรคหลักคือพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทยที่ได้เสนอชื่อของนายอภิสิทธิ์ และนายอนุทิน ซึ่งหากเป็นนายอภิสิทธิ์ ก็จะถือว่าเราได้นายกฯ คนนอกอีกหรือไม่? เพราะสถานะความเป็น สส. ของนายอภิสิทธิ์ได้สิ้นสุดลงไปแล้วหลังการลาออก แต่ก็จะถือว่าเป็นการกลับมาทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกฯอย่างสวยงามอีกครั้ง หรือหากเป็นนายอนุทินก็จะเข้าสู่ระบบรัฐสภาอย่างเต็มตัวเพราะปราศจากข้อครหาเรื่องนายกฯ คนนอกอย่างแน่นอน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีกระแสเรื่องการดันนายอนุทินเป็นนายกฯ อยู่แล้วจากฝั่งเครือข่ายเพื่อไทยที่พูดว่ายอมถอยเพื่อให้ประเทศเดินต่อ
มองในกรณีนี้แล้วหากนายอนุทินได้ขึ้นเป็นนายกฯจริง ก็ไม่ควรมีเสียงคัดค้านจากฝ่ายค้านเพราะเป็นบุคคลตามที่เคยพูดไว้และอาจมีพรรคร่วมเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่? หรือหากมีก็จะแสดงให้เห็นว่าการพูดว่าจะเสนอชื่อเป็นเพียงการสร้างวาทกรรมเพื่อดึงกระแสเท่านั้น หรือที่สุดแล้วหากไม่สามารถเลือกนายกฯจากขั้วรัฐบาลจริงๆ อาจจะได้เห็นนายกฯที่มาจากขั้วฝ่ายค้าน ก็จะหนีไม่พ้นชื่อของคุณหญิงสุดารัตน์ และนายธนาธร ก็จะเป็นกระแสตีกลับของสภาที่จะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลต้องชะลอออกไปอีก
กรอบเวลาที่จะได้เห็นโฉมหน้ารัฐมนตรีใหม่ภายใต้ นายกฯประยุทธ์ 2 นี้ คาดว่าจะได้เห็นในกลางเดือนกรกฎาคม จากคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ที่ให้ไว้ ซึ่งภายหลังนายกรัฐมนตรีนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ก็จะเป็นสัญญาณของการสงบศึกพรรคร่วม หรือเป็นสัญญาณที่รอวันปะทุ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่ยุบสภาฯ เพราะแม้เสียงจะปริ่มน้ำ แต่เชื่อได้ว่าภายหลังจากการยุติกิจกรรมทางการเมืองอย่างยาวนานภายใต้รัฐบาล คสช. และเพิ่งมีการประกาศยกเลิก คำสั่ง คสช. ยกใหญ่เมื่อวันก่อน ไปหลายฉบับ พรรคการเมืองก็ยังเลือกที่จะอยู่ในระบบรัฐสภาและเลือกที่จะทำงานการเมือง แม้ว่าจะต้องอยู่ภายใต้เงาพล.อ.ประยุทธ์ก็ตามใช่หรือไม่?
ขณะที่ฟากฝ่ายค้าน ฝั่งเพื่อไทยเอง ก็กำลังปรับทัพใหม่เพื่อเตรียมสู้ศึกในสภาฯ และเริ่มส่งไม้ต่อ รวมถึงมีการเคลื่อนไหวที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นแล้ว อย่างกรณีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค จากพล.ต.ท.วิโรจน์ ที่ก้าวลงจากตำแหน่ง ให้นายสมพงษ์ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทน หรือกรณีที่บุคคลระดับแกนนำของพรรค อย่างนายพงษ์ศักดิ์ อดีตรมว.พลังงาน ประกาศวางมือทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมานั้น ถือเป็นการทยอยถอยฉากของบุคคลระดับแนวหน้าของพรรคเพื่อไทย ที่ดูจะสวนทางกับคนในพรรคอย่างคุณหญิงสุดารัตน์ ที่มีกระแสข่าวว่าเตรียมนั่งตำแหน่ง ประธานพรรค และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พร้อมทั้งนำคนสนิทอย่าง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ มาเป็นเลขาฯพรรค ซึ่งการก้าวเข้ามาเต็มตัวของคุณหญิงสุดารัตน์ในครั้งนี้นั้น หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ถึงความพยายามที่จะแก้ไขสิ่งต่างๆ ในพรรค ซึ่งสิ่งที่น่าจับตามอง อย่างความพยายามแก้ข้อบังคับของพรรค เพื่อให้พรรคสามารถตั้งกรรมการบริหารพรรคได้มากขึ้นจากเดิมแค่ 29 คน เป็นกว่า 60 คน หลายฝ่ายมองว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นความพยายามเปิดช่องให้นายทุนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะยิ่งทำให้ภาพของความเป็นบริษัทของพรรคชัดเจนยิ่งขึ้นหรือไม่?
นอกจากนั้นแล้วยังเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคได้ง่ายขึ้น หากมีใครคนใดคนหนึ่งทำผิดกฎ แต่ถึงอย่างไรแล้วการดำเนินการหลังจากนี้ภายใต้การนำของคุณหญิงสุดารัตน์ จะส่งผลอย่างไรกับพรรคกันแน่? เพราะต้องอย่าลืมว่าที่ผ่านมาคุณหญิงสุดารัตน์เองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พรรคตกอยู่ในสภาพฝ่ายค้านจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา และมีส่วนทำให้ สส. หลายคนเองเกิดข้อกังขา และไม่ยอมรับในตัวคุณหญิงสุดารัตน์ใช่หรือไม่? อีกกระแสหนึ่งที่ดูสอดคล้องกับการสับเปลี่ยนขุนพลทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย คือกระแสข่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังเปลี่ยนกระบวนทัพเพื่อเตรียมการตั้งพรรคเครือข่ายในแนวทางเดียวกับพรรคไทยรักษาชาติ และอนาคตใหม่ โดยมีกระแสข่าวว่านายใหญ่ที่ประกาศตัวว่าวางมือทางการเมืองไม่ได้วางมือจริงๆ และเล็งเห็นลู่ทางที่ได้กระแสตอบรับจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่าใช้ได้ผลคือการสร้างขุนพลรุ่นใหม่เพื่อนำพรรคสาขาที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับโอนถ่ายขุนพลรุ่นเก๋าเพื่อมายึดพื้นที่และคุมเกมที่สามารถวางรากฐานให้พรรคได้ใช่หรือไม่?
ขณะที่พรรคเพื่อไทยเองกำลังง่วนอยู่กับการเปลี่ยนแปลงนั้น บุคคลที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของพรรคอย่างนายทักษิณนั้น? ที่ทีแรกหลายฝ่ายต่างวิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มจะวางมือทางการเมือง หลังปิดบ้านไม่ต้อนรับบรรดา สส. หรือนักธุรกิจ อย่างที่ผ่านมา แต่ถ้าหากวิเคราะห์จากที่ผ่านมา นายทักษิณเองเคยประกาศวางมือทางการเมืองมาแล้วอย่างน้อย 7 ครั้ง จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์เองก็มองว่าตราบใดที่พรรคการเมืองยังเป็นเครื่องมือสำคัญ นายทักษิณเองก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหวใช่หรือไม่? แต่ท่าทีที่นายทักษิณแสดงออกมานั้น ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า ด้วยรัฐธรรมนูญในปัจจุบันนั้น คงเอาชนะพรรคการเมืองอื่นๆ ในการเลือกตั้งด้วยพรรคเดียวไม่ได้เหมือนแต่ก่อน เพียงแต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา เช่นเดียวกับอดีตนักการเมืองจากพรรคไทยรักษาชาติที่บางส่วนยังไม่กลับเข้าพรรคเพื่อไทย เพื่อรอดูท่าทีของนายทักษิณอยู่ใช่หรือไม่? ซึ่งหากจะว่าไปแล้วที่ผ่านมานายทักษิณแม้จะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนหลบหนีคดีไปต่างประเทศ แต่ตัวเขาเองก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักสู้เหมือนกัน
ดังนั้นแล้วการตัดสินใจหลังจากนี้จะเป็นการวางมือ หรือวางไข่ทางการเมืองต่อ คนที่น่าจะรู้คำตอบดีที่สุดคงเป็นนายทักษิณเองใช่หรือไม่? ซึ่งก็จะเป็นตัวกำหนดเกมและแผนการเมืองของซีกรัฐบาลปัจจุบันเช่นกันว่าจะเดินไปทางใด และจะแสดงออกมาในการวางตัวผู้สมัครท้องถิ่นปลายปีนี้
“...ความเงียบคือการยอมรับโดยดุษณี...”
โกวเล้ง จากเรื่อง วีรบุรุษสำราญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี