ในการเข้าร่วมรัฐบาล “ประชาธิปัตย์” ถูกวิจารณ์และจับจ้องมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ข้อหาที่ถาโถมเข้าใส่ก็คือ “ตระบัดสัตย์ ไม่ยืนหยัดอุดมการณ์ ไม่รักษาคำพูด”
เมื่อสถานการณ์พลิกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคคนเก่ารับผิดชอบทันทีด้วยการ “ลาออก”จากการเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” เดินหน้ากระบวนการประชาธิปไตยภายในพรรค ด้วยการให้ลงมติว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล สุดท้ายมติออกมาว่า “ร่วมรัฐบาล” โดยมีคณะบุคคลคณะหนึ่งถึงกับประกาศว่า ต่อให้พรรคไม่มีมติที่จะร่วม พวกตนก็จะไปร่วม
จุรินทร์ใช้ความสุขุมประคองพรรค ก้าวเดินอย่างระมัดระวังบน “ทางแยกอันตราย” ซึ่งมีทั้งอันตรายของพรรค และอันตรายของบ้านเมือง แน่นอน เขาเลือกลดความอันตรายของบ้านเมืองด้วยการนำพาพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ท่ามกลางความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งตัวเขาเองก็เจอกับแรงกดดันอย่างหนักหน่วง และรู้ว่ามัน “อันตรายทุกย่างก้าว” โดยเฉพาะหากร่วมรัฐบาลแล้ว “สร้างผลงานอะไรไม่ได้” ก็จะมีคนมา “ซ้ำเติม” และ “ย้ำ” ในประเด็นตระบัดสัตย์เดิมๆ อีกเป็นแน่
เราจึงเห็นว่า ทั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค คือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน และลูกพรรคทั้งหมด เอาจริงเอาจังต่อการตัดสินใจนี้ ด้วยการ “พิสูจน์ตัว” ผ่านการ “ทำงาน” เพื่อ “ประชาชน”
“พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” สส.น้ำดีคนหนึ่งจากนครศรีธรรมราช ใช้สภาเป็นที่ถามปัญหาของชาวบ้านมาหลายครั้งแล้ว เมื่อผมนำคลิปของเธอที่ตั้งกระทู้ถามในสภามาเปิดในรายการ “หน้าหนึ่งที่เมืองไทย” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องฟ้าวันใหม่ ก็มีท่านผู้ชมแสดงความเห็นเข้ามาหลายท่าน ในทำนองว่า เธอคนนี้คือ สส. “ตัวจริง” ที่ตระหนักและทุกข์ร้อนกับปัญหาของประชาชนในพื้นที่อยู่เสมอ และกล่าวชื่นชมเธอ ชนิดที่ถ้าเธอได้มาอ่าน คงมีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมในการเป็น “ผู้แทน” รอบนี้และวันข้างหน้า
ล่าสุด ในเฟซบุ๊ค “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” เธอโพสต์ภาพและข้อความว่า “วันนี้ปุ้ยขึ้นมากรุงเทพฯ เพื่อเข้าร่วมประชุมอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาเรื่อง ผัก ผลไม้ และสมุนไพร โดยปุ้ยเองได้รับการแต่งตั้งเป็นรองฐานะประธานคนที่ 3 โดยการประชุมมีประเด็นคุยกันคือเรื่องของทิศทางการทำงานของอนุกรรมาธิการ โดยมีข้อสรุปคร่าวๆดังนี้ 1.แบ่งผลไม้ที่จะศึกษาออกเป็น มังคุด ทุเรียน ลองกอง ลิ้นจี่ ลำไย 2.เกษตรกรต้องเป็นคนที่กำหนดราคาเอง มิใช่ให้ผู้ซื้อมากำหนดทั้งหมด 3.ให้เกษตรกรผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ รู้เท่าทันนักธุรกิจและสามารถพึ่งตนเองได้ 4.ให้มีเจ้าภาพหลักในการแก้ปัญหาผลไม้แต่ละชนิด5.ต้องเอาเทคโนโลยีมาใช้ร่วมทั้งเรื่องราคา และคุณภาพ”
อีก 2 ชั่วโมงถัดมา เธอก็โพสต์อีกข้อความหนึ่งว่า
“เสร็จจากประชุมที่สภา ก็มาคุยกันต่อกับท่าน สส. ชัยชนะ เดชเดโช เพื่อปรึกษาหารือและหาทางออกกัน เรื่องปัญหาราคามังคุด โดยได้คำแนะนำและข้อเสนอดีๆ จากคุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ และทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ ในมุมการแก้ปัญหาร่วมกันกับภาคเอกชนที่พร้อมจะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างยั่งยืน”
ครั้นไปดูเฟซบุ๊ค ของ “พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล” เลขานุการคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ ก็พบภาพและข้อความที่บอกถึง “วิธีการทำงาน” ของ “ประชาธิปัตย์” ที่ชัดขึ้นอีก คือ “...ว่าที่ รมว.เกษตรฯและว่าที่ รมช.คมนาคม ท่านเฉลิมชัย ศรีอ่อน และท่านถาวร เสนเนียม ร่วมประชุมกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ทีมใต้เสนอการใช้บี 100 ใน ขสมก. และเรือในคลองแสนแสบ สะพานเกาะลันตา ท่าเรือ สนามบิน และแผนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปาล์มยาง ปัญหาการกีดกันการค้าของจีน ทุเรียนไทยติด gap ส่งออกไม่ได้ แต่ผักจีนทะลักด่านไทย อะไรคือมาตรการช่วยเกษตรกรไทย...”
ก่อนหน้านั้นก็มีข้อความว่า “...กรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ประชุมร่วมกับท่านนิพนธ์ บุญญามณี เพื่อนำเสนอนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ เรื่อง โฉนดสีฟ้า เมืองมหานคร โครงการพัฒนาเด็กเล็กของโรงเรียน อบต. เทศบาล ในขอบเขตงานของกระทรวงมหาดไทย...”
เช่นเดียวกับเมื่อ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา เธอโพสต์ภาพการพบกับ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล และข้อความว่า “...ทหารโปรดเมตตาอย่าโค่นต้นยาง
...พี่ช้าง ท่าน รมช.กลาโหม ชัยชาญ ช้างมงคล พี่ชายของชาว ปปร 16 ที่พวกเราภูมิใจ ท่านมาตอบกระทู้สดที่สภา พี่หมอสุกิจพาไปต้อนรับ
...พวกเราชาวสวนปาล์มสวนสวนยางนำเรียนท่านว่า เรื่องการปลูกยางในพื้นที่ป่าที่มีปัญหา บ้างป่ารุกคน บ้างคนรุกป่า แต่ยางพาราทุกต้นถูกปลูกมาด้วยน้ำแรงของชาวบ้าน ด้วยหวังจะได้กินดีอยู่ดีในเจ็ดปีที่ได้กรีด จะผิดพลาดผิดพลั้ง ขออย่าใช้กำลังทหารโค่นยางทิ้ง เพราะเป็นการกรีดลงในหัวใจชาวสวนยาง น้ำตาจะไหลยิ่งกว่าน้ำยาง ขอให้เจรจากันอย่างเห็นใจภายใต้หลักกฎหมาย หลักมนุษธรรม และหลักรัฐศาสตร์ บ้างป่ารุกคนบ้างคนรุกป่า เจรจากันอย่างเข้าใจ ใช้หลักป่าชุมชน โฉนดชุมชนแก้ไขได้ เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ รักป่ารักคน
...นโยบายประกันรายได้เรื่องยางพาราของประชาธิปัตย์ คือ 60 บาทต่อกก. 25ไร่ ได้ทุกคน จากทุกต้นยางที่ปลูกบนแผ่นดินไทย #เมื่อรัฐสภาเปิด เสียงความเดือดร้อนของประชาชนจะได้รับการแก้ไขเสมอ #งานสภาประชาธิปัตย์...”
จะเห็นได้ว่า สส.เก่า-ใหม่ สส.ผู้ใหญ่และเด็ก ต่างใช้ “คลังสมอง” (Think Tank) ของพรรค คือ “ทีมนโยบาย” เป็นที่ “ตักตวงความคิด” เพื่อแปรรูปไปเป็น “นโยบาย” ในการขับเคลื่อนงาน ทั้งงานในฐานะรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วย สส. และงานกรรมาธิการ มุมนี้เราไม่เห็นจากพรรคการเมืองอื่น ซึ่งเป็นมุมที่น่าสนใจ
ประชาธิปัตย์มีนักการเมือง “ชั่วโมงบินสูง” มีนักกฎหมาย นักวิชาการ และผู้มีประสบการณ์ด้านต่างๆ อยู่ในพรรคมากมาย ซึ่งที่ผ่านมา มิได้ “ขับเน้น” ให้คนเห็น ให้คนศรัทธา บวกกับสถานการณ์การเมืองในช่วงที่ผ่านมา บังคับให้คนมองแต่ “หัวหน้าพรรค” ของทุกพรรคเป็นสำคัญ ทั้งๆ ที่ในโลกของความเป็นจริง ปัญหาทุกวันนี้ ซับซ้อนและเคลื่อนตัวเร็ว เกินกว่าที่ใครคนใดคนหนึ่งจะ “เท่าทัน” ได้ การระดมผู้คนมารับมือกับปัญหาและเพิ่มโอกาสในการพัฒนาแบบ “หมู่คณะ” ที่มีศูนย์บัญชาการหลักเป็น “คลังสมอง” ทำวิจัย เก็บข้อมูล ศึกษาความเคลื่อนไหวของนานาประเทศ แล้วส่งต่อให้ “ผู้ปฏิบัติ” จึงสำคัญยิ่งนัก
สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ ประชาธิปัตย์ทำงานบน “ฐานข้อมูล” ที่รอบด้าน เช่นข้อมูลและความเห็นจาก สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย และประสานข้อมูล เรียนรู้จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ฯลฯ
คำว่า “ทีมอเวนเจอร์ส” ของนายจุรินทร์ จึงหมายถึงสิ่งนี้ คือ สส. สมาชิกพรรค อดีตผู้สมัคร ยุวประชาธิปัตย์ นักธุรกิจ ประชาชน ผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ ที่ต้องเอา “ความรู้ ความคิด ความตั้งใจดีๆ เพื่อประเทศชาติ” มาเป็นพลังผลักดัน ให้บ้านเมืองก้าวพ้นจากปัญหาไปสู่โอกาส ดังล่าสุดที่นายจุรินทร์เอง ลงพื้นที่พบปะกับนักธุรกิจเยาวราช เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ หลังจากก่อนหน้านี้ เดินสายพบปะกับเกษตรกร ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน ประมง มันสำปะหลัง ลำไย ตัวแทนพ่อค้าแม่ขายถนนคนเดิน ฯลฯ มาแล้ว
สะท้อนว่า ในฐานะที่รับ “กระทรวงหนัก” อย่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาไว้ในมือนั้น เอามาเพื่อจะ “ทำงาน” จริงๆ และไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไป หรือนั่งรอเวลาเป็นเสนาบดีเฉยๆ กลับเดินสายไปพบปะกับ ผู้ประสบปัญหาตัวจริง” คือ ประชาชน ซึ่งใครจะรู้ปัญหาและสะท้อนปัญหาได้เท่าคนเหล่านั้น และคนที่ไปฟังนั้นก็คือ “หัวหน้าพรรค” และ (ว่าที่) รัฐมนตรี พร้อมคณะทำงานทั้งที่มีตำแหน่งและไม่มี ใจแบบนี้ จะหาได้ที่ไหนในช่วงเวลาที่การเมืองเน้นการโจมตี ปราศรัย สร้างคะแนนนิยมบนการสร้างความเกลียดชัง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์หลังรับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่า งานหลักที่ถือเป็นงานเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขทันทีคือ เรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนที่รับผลกระทบมาจากพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ ซึ่งต้องทำงานควบคู่ไปกับกระทรวงพาณิชย์ โดยมีพืชผลการเกษตรหลายตัวที่ต้องเร่งแก้ไข อาทิ ยางพารา ที่จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นดูแลเป็นการเฉพาะ ส่วนข้อกังวลที่ว่า ยางพาราราคาตกต่ำเพราะ 5 เสือส่งออกของไทย ถูกต่างชาติเข้าซื้อกิจการ และสวมรอยเป็นนอมินี โดยกดราคายางพาราให้ต่ำจากความเป็นจริงนั้น ตนยืนยันว่าจะกำกับดูแลด้วยตนเอง
รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวต่อว่า จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกรเป็นหลัก และรักษาประโยชน์ให้ชาวสวนยางพาราให้มากที่สุด มีปัญหาจุดไหนก็ต้องเร่งแก้จุดนั้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเร่งด่วนสำคัญอีกคือ การประมงพาณิชย์ และประมงพื้นบ้าน ที่ต้องเร่งมือแก้ ว่าจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบา เพื่อช่วยเหลือภาคประมงของไทยทั้งระบบได้หรือไม่อย่างไร ซึ่งจะร่วมแก้ไขปัญหาประมงยกระบบโดยไม่กระทบกับไอยูยู และสิ่งแวดล้อม จะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขเรื่องประมงไทยทั้งระบบ ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นภาคีเพื่อหารือถึงปัญหาและวิธีการแก้ไข โดยออกกฎหมายที่เป็นธรรมมาใช้
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เพื่อให้แยกความรู้สึกเรื่อง “ตระบัดสัตย์” กับการตัดสินใจ “ทำงาน” ท่ามกลางเสียงก่นด่า ออกจากกัน วันเวลาจะพิสูจน์คน และเรื่องหนึ่งที่รอการพิสูจน์ในระยะอันใกล้ คือเงื่อนไขเรื่อง “แก้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งต้องดูว่า จุรินทร์-เฉลิมชัย-จุติ (ไกรฤกษ์)-นิพนธ์ (บุญญามณี) จะเอาจริงกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ในเมื่อท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ และแกนหลักของพลังประชารัฐ ทำท่าจะไม่ใส่นโยบายนี้ไว้ในการแถลงของท่านนายกฯ
จะเปลี่ยน “ประชาธิปไตยวิปริต” ที่เคยปราศรัยไว้ให้ “สุจริตยิ่งขึ้น” ได้จริงหรือไม่ นอกเหนือจากความแน่วแน่ที่จะแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ซึ่งเห็นได้ชัดแล้ว จึงขอพี่น้องประชาชนอย่าได้พูดว่า “ปากท้องมาก่อน รัฐธรรมนูญไว้ทีหลัง” อย่างที่คนอื่นพยายามจะชี้นำให้คิดเช่นนี้ เพราะทั้งสองเรื่อง ทำควบคู่กันไปได้ เนื่องจากมันเป็นงานของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ที่ไม่ต้องรอเสร็จเรื่องหนึ่งแล้วค่อยทำเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะมีคนลากไปทางนั้นแน่ แล้วจะทำให้ประชาธิปัตย์ดูเป็นพรรคทีเสนอเรื่องแย่ๆ ให้เข้าทางฝ่ายค้าน
เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ จึงนับเป็น “โค้งถนนลื่น” ที่ประชาธิปัตย์กำลังเจอ หาสื่อสารไม่ดีพอ ก็จะเสียเงื่อนไขสำคัญให้พลังประชาชน “กลบทิ้ง” ไป และสูญเสียความเข้าใจที่ถูกต้องในหมู่ประชาชน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี