การเข้าพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของรัฐมนตรีชุดใหม่และการประชุมครม.นัดแรกเมื่อสองวันที่ผ่านมา ถือได้ว่าเกือบจะเสร็จสิ้นกระบวนการถ่ายโอนอำนาจจากรัฐบาล คสช. มาสู่รัฐบาลพลเรือนแล้ว เหลือเพียงการแถลงนโยบายต่อสภาที่นายกฯ ประยุทธ์ 2 กล่าวว่า น่าจะอีกไม่กี่วันนี้ และหลังจากนั้นจะนับว่าเป็นการถ่ายโอนอำนาจและภารกิจทุกอย่างกลับสู่สภาวะการเมืองปกติ โดยนายกฯประยุทธ์ ได้กล่าวในสารอำลาตำแหน่งรัฐบาล คสช. ว่า ใน 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาล คสช. ได้ทำงานไปมากซึ่งเป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ทำให้ประเทศกลับมาสู่ความเจริญรุ่งเรือง และเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ซึ่งเรื่องที่ต้องรอดูต่อไปคือแนวนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะทำในอนาคต รวมถึงผลงานที่จะสามารถกู้ความศรัทธาต่อรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ที่ถูกข้อครหาว่าอยู่ใต้เงา คสช. ได้หรือไม่?
สำหรับเรื่องการร่างนโยบายนั้น ถึงที่สุดแล้วก็คงเป็นเรื่องของ 3 พรรคหลัก นั่นคือพรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ในขณะที่พรรคเล็กอื่นๆ ที่มีเพียงการออกความเห็น? ซึ่งในทางภาพรวมของนโยบายนั้น พรรคพลังประชารัฐจะเป็นหลัก โดย พล.อ.ประยุทธ์ มอบให้สภาพัฒน์ เป็นผู้ดูแลเหมือนเคย จึงพอจะเดาทิศทางของร่างได้ไม่ยาก โดยในรอบนี้พรรคภูมิใจไทย มีความหนักแน่นต่อความผลักดันนโยบายเป็นอย่างมาก โดยมีทีมคณะทำงานมีการขอแก้เนื้อความในถ้อยแถลงนโยบายในห้องประชุมพรรคร่วมทั้งในเนื้อหาส่วนที่ตัวเองดูแล และเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวกับกระทรวงอื่นที่พรรคร่วมดูแล เพราะในครั้งนี้พรรคภูมิใจไทยค่อนข้างมีนโยบายเฉพาะ แตกต่างจากพรรคอื่นและต่างจากครั้งที่ผ่านๆ มาโดยเฉพาะเรื่องการส่งเสริมกัญชาเพื่อการแพทย์
ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้น ก็มีการปรับขอแก้หลายประเด็น ซึ่งหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุด คือการแก้ประเด็นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่พรรคพลังประชารัฐที่จะยอมระบุเนื้อหาดังกล่าวต่อคำแถลงนโยบายในสภาฯ เพราะจะเท่ากับว่าเป็นการผูกมัดให้ทำหน้าที่ด้านการเตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญในชุดนี้ โดยพลเอกประยุทธ์ให้สัมภาษณ์โยนไปให้เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติเสนอ แต่ในความเป็นจริงถ้าเสนอโดยฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมี สว. อยู่ด้วย หรือจะให้สส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นคนเสนอย่อมเกิดขึ้นได้ยาก แต่ถ้าหากไม่ทำและจะปล่อยให้พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคอนาคตใหม่ชิงเสนอก่อนก็ย่อมไม่ดีแน่ ส่งผลให้หนทางเดียวที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงได้ ก็คือการเสนอเองของพรรคพลังประชารัฐ จากการผลักดันของพรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่?
ทั้งนี้หลังจากมีการร่างนโยบายร่วมกันเรียบร้อยแล้ว ก็ยังต้องพิจารณาถึงเรื่องการจัดสรรงบประมาณอีก โดยเฉพาะกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ที่แม้จะได้คุมเก้าอี้กระทรวงเกษตรฯ แต่ภายหลังหากมีการจัดสรรงบประมาณแล้ว กระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้รับงบประมาณมากพอที่จะดำเนินนโยบายตามที่พรรคประชาธิปัตย์คาดหวังไว้ โดยเฉพาะโครงการอุดหนุนภาคการเกษตรที่ต้องใช้งบประมาณสูง โดยคาดว่าในพ.ร.บ.งบประมาณ ปี’63 ที่กำลังจะออกแล้วนี้ คงมีแต่งบรายจ่ายประจำเป็นหลัก งบอื่นต้องอาศัยใบผ่านงบกลางจากนายกฯโควตาพรรคพลังประชารัฐ หรืองบกลางปีที่อาจจะออกต้นปีหน้าซึ่งต้องอาศัยกระทรวงการคลังในการก่อหนี้เงินกู้ นั่นเท่ากับว่าการดำเนินการนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอาศัยใบผ่านจากกระทรวงการคลัง หรืออย่างเลวร้ายที่สุด คือการถูกชี้นำกำกับโดยองค์ประกอบอื่นซึ่งจะได้กล่าวต่อไป?
ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ การดำเนินโครงการจำนำข้าว แม้จะเกี่ยวข้องกับเกษตรฯ แต่เนื่องจากโควตา รมว.เป็นของพรรคร่วม นายกฯ จึงเลือกใช้กระทรวงพาณิชย์ในการดำเนินการ
ต่างๆ (ในภารกิจเดียวกัน ต่างกับรัฐบาลทักษิณที่ผ่านกระทรวงเกษตรฯโดยตรง,รัฐบาลอภิสิทธ์ใช้กระทรวงคลัง) ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่างบประมาณที่ได้รับของแต่ละกระทรวงมีผลต่อการดำเนินนโยบายต่างๆ ซึ่งสุดท้ายอาจทำให้นโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์วางไว้ ไม่เป็นดั่งที่คิด? และอาจจะขึ้นอยู่กับท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ด้วยเช่นกัน ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเลือกใช้วิธีการดำเนินการอย่างไร ซึ่งอาจต้องมองเกมการเมืองให้มากกว่าสี่ปีที่ผ่านมาด้วยจึงจะคุมพรรคร่วมอยู่หมัดโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ จริงๆแล้วก็ยังมีเครื่องมือทางการเมืองให้ใช้คุมพรรคร่วม แม้จะหมด มาตรา 44 แล้วก็ตาม อยู่ที่จะเลือกใช้เครื่องมือใดและในช่วงเวลาใดใช่หรือไม่?
นอกจากนี้ เมื่อผนวกกับโครงสร้างการบริหารกระทรวงเกษตรฯ ที่ครั้งนี้น่าแปลกที่ถือว่าเป็นกระทรวงที่มี รมช. มากที่สุดกระทรวงหนึ่ง ทั้งยังมาจากพรรคที่แตกต่างกันอีก ดังนั้นการแย่งกันทำผลงานก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้พอๆ กับความขัดแย้ง? ที่ถ้าหากฝ่ายค้านมองออก การเกษตรจะกลายเป็นชนวนสำคัญหนึ่งในอนาคตให้เลือกเจาะข้อมูลได้ไม่ยากถ้าพรรคใดในพรรคร่วมพลาด แต่อย่างไรก็ตามการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้กระทรวงอื่นมาด้วย อย่างกระทรวงพาณิชย์ที่มีนายจุรินทร์นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการอยู่นั้น ความเชื่อมโยงดังกล่าวก็อาจจะแก้อุปสรรคดังกล่าว และช่วยให้การดำเนินนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้นใช่หรือไม่? เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว คงทำให้เก้าอี้รัฐมนตรีที่ได้มาไม่ได้ถูกใช้งานให้เกิดผลอย่างที่คาดหวังไว้ ซึ่งก็คงนำมาซึ่งงานหนักในการเลือกตั้งครั้งต่อไปของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งหน้า?
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตา คือกรณีของนายสมคิด ที่ประกาศว่าตัวเองไม่ได้เป็นรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจเพียงคนเดียวแล้ว หลังการเข้ามาของนายจุรินทร์ที่เข้ามานั่งตำแหน่งรองนายกฯ ควบรมว.พาณิชย์ และนายอนุทินที่นั่งเก้าอี้รองนายกฯ ควบ รมว.สาธารณสุข ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่อจากนี้ ต้องดำเนินการคู่กันระหว่างพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงพรรคภูมิใจไทย แต่ถ้าหากเน้นเฉพาะเรื่องปากท้องของประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะส่งผลกระทบโดยตรงกลับมาที่รัฐบาลสองกระทรวงหลักกลับอยู่ในมือพรรคประชาธิปัตย์ การตัดสินใจบริหารนโยบายเศรษฐกิจของดร.สมคิด จึงอาจจะต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธี แล้วอาจเลือกเอาแนวทางในสมัยนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คุมพรรคร่วมที่ได้กระทรวงใหญ่
โดยครั้งนั้นเครื่องมือ เกือบจะทุกอย่างทางเศรษฐกิจ เลือกที่จะผ่านกระทรวงการคลังเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือธนาคารของรัฐ หรือการใช้เครื่องมือสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และการบริหารจัดการกองทุนต่างๆ รวมถึงการออก พ.ร.ก.เงินกู้ไทยเข้มแข็ง ที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้พรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนั้นคุมพรรคร่วมได้อยู่ ขณะที่ซีกความมั่นคงก็เช่นกัน ที่ตอนนี้แม้พล.อ.ประวิตรจะเป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคงเหมือนเคย แต่ว่าไม่ได้คุมกระทรวงกลาโหมแล้ว ภารกิจที่หนักขึ้นของพล.อ.ประยุทธ์ น่าจะกำลังสื่อความอะไรบางอย่างหรือไม่? ต่อบทบาทของพล.อ.ประวิตรหลังจากนี้ ตลอดจนถึงการขึ้นมามีอำนาจมากขึ้นของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ในพรรคพลังประชารัฐ สะท้อนการเปลี่ยนท่าที ของพล.อ.ประยุทธ์ต่อการปรับตัวสู้การเมืองใหม่ ที่ต้องเผชิญกับการทำงานร่วมกับพรรคการเมืองต่างๆ และต้องหันมาพึ่งพาอาศัยพรรคร่วมมากขึ้น ซึ่งนายณัฏฐพล น่าจะช่วยคุมเกมการเมืองพรรคร่วมได้มากกว่าทีมบริหารชุดปัจจุบันหรือไม่? พร้อมๆ ไปกับการหมดอำนาจในมาตรา 44 และคำสั่ง คสช. ของพลเอกประยุทธ์ แต่ก็ยังมีอีก 2 เครื่องมือที่จะเป็นตัวช่วยพล.อ.ประยุทธ์ได้
สำหรับเครื่องมือแรกก็คงได้เห็นศักยภาพมาแล้ว นั่นก็คือ สว. 250 คน แต่เครื่องมือที่ 2 ยังไม่เคยนำขึ้นมาใช้ในเชิงอำนาจ นั่นก็คือยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะมีอำนาจในการควบคุมการใช้งบประมาณต่างๆ ของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงใด และเชื่อว่าหลังจากนี้อีกไม่นาน ก็คงจะได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของอำนาจในส่วนนี้แล้ว...
“มีเรื่องบางประการ มาตรว่าท่านปฏิเสธไม่ไปขบคิด แต่พาลต้องครุ่นคิดอยู่ทุกเวลา” โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี