ข้อดีของการที่กองเชียร์คุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อัพเดทภาพข่าวคราวล่าสุดของอดีตนายกฯ หนีคุกหนีตะรางทั้งคู่อยู่เรื่อยๆ คือ ทำให้เราไม่ลืมว่า บุคคลทั้งสองนี้ กระทำผิดร้ายแรง ก่อความเสียหายมหาศาลขนาดไหนกับบ้านเมือง
และได้ฉุกคิดติดตามต่อไปอีกว่าการดำเนินคดีต่างๆ ที่ยังคงเหลืออยู่ ไปถึงไหนแล้วบ้าง
1. คุณยิ่งลักษณ์ที่ถูกเรียกให้ชำระค่าสินไหมทดแทนจากการปล่อยปละละเลย ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการจำนำข้าว 35,000 ล้านบาทนั้น ป่านนี้แล้ว กระบวนการบังคับคดี การสืบทรัพย์ การติดตามเอาทรัพย์สินกลับคืนมาชดใช้คืนแผ่นดินไปถึงไหนแล้ว
ยึดมาได้แล้วกี่ล้านบาท? บ้านนำไปขายทอดตลาดแล้วหรือยัง?
น่าคิดว่า ระหว่างการบังคับค่าสินไหมคดีแพรวา 9 ศพ กับคดียิ่งลักษณ์ที่ดำเนินการบังคับคดีตามคำสั่งเรียกค่าเสียหาย 35,000 ล้านบาทนั้น อันไหนจะเสร็จก่อนกันหนอ?
2. คุณยิ่งลักษณ์หนีโทษจำคุก 5 ปี คดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ละเว้นระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ศาลชี้ประเด็นสำคัญ คือ กรณีระบายข้าวจีทูจี อดีตนายกฯรับรู้การแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การตั้งกระทู้ถามสด กระทู้ทั่วไป การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายข้าราชการการเมือง และข่าวสารจากสื่อมวลชน ยิ่งกว่านี้ ก่อนเริ่มโครงการรับจำนำข้าว ทั้งสำนักงานการตรวจการแผ่นดิน สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งเตือนและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการนำเอานโยบายรับจำนำข้าวไปดำเนินการปฏิบัตินั้นจะมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน และการทุจริตในขั้นตอนต่างๆ ให้จำเลยทราบเป็นระยะๆ แต่จำเลยกลับไม่ได้ติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ในฐานะประธาน กขช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้พันตรีวีระวุฒิ หรือหมอโด่ง ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และดำรงเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในเวลาต่อมา ซึ่งภายหลังถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม.25/2558 และหลบหนีในระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว เป็นอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว อนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการตลาด อนุกรรมการกำกับดูแลการรับจำนำข้าว และอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจำนำข้าว ซึ่งคำสั่งแต่งตั้งให้พันตรีวีระวุฒิ หรือหมอโด่ง เป็นอนุกรรมการชุดต่างๆ ล้วนมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวทั้งสิ้น
ทั้งหลังจากวันที่ 26 พฤศจิกายน 2555 ที่นายวรงค์ (เดชกิจวิกรม) อภิปรายเรื่องการทุจริตการระบายข้าว นายสุพจน์เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงในการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าข้าวตามสัญญา 4 ฉบับนั้น ในขณะนั้นยังคงมีการส่งมอบข้าวตามสัญญาขายข้าว 4 สัญญาแรกต่อไปอีกถึงปลายเดือน ก.พ. 2556 และมีการชำระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ 1 ระหว่างวันที่ 18 ต.ค. 2554 ถึงวันที่ 28 ม.ค. 2556 รับมอบข้าว 1,820,815.66 ตัน ชำระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 มี.ค. 2555 ถึงวันที่ 22 ก.พ. 2556 รับมอบข้าว 1,402,537.86 ตัน ชำระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ 3 ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. 2555 ถึง วันที่ 22 ม.ค. 2556 รับมอบข้าว 1,654,453.13 ตัน
หากนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่นายวรงค์อภิปรายเป็นต้นมา ยังมีระยะเวลาเพียงพอแก่การตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงตามข้ออภิปรายของนายวรงค์ และหากจำเลยดำเนินการตรวจสอบการทุจริตการระบายข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับแรกอย่างจริงจัง ดังเช่นจำเลยได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องโครงการข้าวถุงราคาถูก เพื่อวางมาตรการป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นอีก ซึ่งในเรื่องโครงการข้าวถุงราคาถูก จะเห็นได้ว่าจำเลยใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบอย่างเอาจริงเอาจัง และในวันที่ 10 ก.ค. 2556 คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวดำเนินการประชุมแล้วมีมติให้ระงับโครงการข้าวถุงราคาถูก ดังนั้นในส่วนการระบายข้าวที่แอบอ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐก็เช่นเดียวกัน จำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะระงับยับยั้งการส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ยังไม่ได้ส่งมอบไว้ก่อนก็ย่อมกระทำได้ตามอำนาจหน้าที่
แต่จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลและประธาน กขช. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย วางมาตรการโครงการที่อนุมัติไปแล้ว ทั้งมีอำนาจสั่งการข้าราชการทุกกระทรวงทบวง กรม ในการกำกับ การระงับยับยั้ง หรือการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว แต่จำเลยกลับมีพฤติกรรมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายส่อแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายบุญทรงกับพวกแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว โดยการแอบอ้างนำบริษัท GSSG และบริษัท HAINAN GRAIN เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด ตามประกาศของกรมการค้าภายใน แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริต ได้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ และเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรง เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในตำแหน่งโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง ประเทศชาติ หรือผู้ใดผู้หนึ่ง ให้จำคุก 5 ปี
3. ล่าสุด คุณยิ่งลักษณ์ คุณทักษิณ และคุณเยาวภา (เจ๊แดง) ถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาในการไต่สวนคดีทุจริตการระบายข้าวจีทูเจี๊ยะ ลอตสอง สืบเนื่องจากมีพยานหลักฐานระบุถึงว่าเข้าไปมีส่วนพัวพัน
4. ทักษิณต้องคำพิพากษาจำคุก คดีที่ดินรัชดา 2 ปี, คดีเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ 3 ปี, คดีหวยบนดิน 2 ปี
ยังเหลือคดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทย คดีแปลงสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต อยู่ในชั้นศาล
ตัวอย่างความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตสัญญาสัมปทานมือถือ อันเกิดขึ้นในยุครัฐบาลทักษิณ และเป็นหนึ่งในกรณีที่ศาลฎีกาเคยชี้ว่าเป็นการอาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ทักษิณโดยมิชอบ คือ กรณีแก้สัมปทานมือถือ ลดค่าส่วนแบ่งรายได้ในบัตรเติมเงิน
กรณีดังกล่าว ได้มีการดำเนินคดีอาญาเอากับอดีต ผอ.องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) เมื่อปี 2544 นายสุธรรม มลิลา ปรากฏว่า ศาลปราบโกงพิพากษาในชั้นคดีอุทธรณ์ ว่านายสุธรรมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ให้จำคุกทั้งสิ้น 9 ปี แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำเข้าไต่สวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกรวม 6 ปี และให้จำเลยชำระเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.2559 ให้แก่ บริษัท ทีโอที ผู้เสียหาย คดีนี้ด้วย
ขณะนี้ คดีอยู่ในชั้นฎีกา
กรณีข้างต้นนี้ สืบเนื่องจากช่วงรัฐบาลทักษิณ องค์การโทรศัพท์ฯ (ทศท.) ไปปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าในชื่อ “วันทูคอล” ให้กับเอไอเอส จากอัตราร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 20 จำเลยใช้อำนาจฐาน ผอ.ทีโอที ลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาอนุญาตดำเนินกิจการครั้งที่ 6 ให้กับ เอไอเอส และกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนโทรศัพท์แบบวันทูคอล โดยให้ เอไอเอสแบ่งส่วนรายได้อัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร ซึ่งทำให้ ทีโอที ผู้เสียหายคดีนี้ได้รับส่วนแบ่งรายได้น้อยลง จากเดิมที่ได้รับตามสัญญาหลักในอัตราร้อยละ 25-30 โดยเมื่อเปรียบเทียบ ส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาหลัก กับสัญญาที่แก้ไขนั้น พบว่า ทีโอทีต้องสูญเสียรายได้ถึง 17,848,130,000 บาท และสูญเสียรายได้ในอนาคต จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทานอีกเป็นเงิน 53,490,900,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 71,339,030,000 บาท
เจ้าของบริษัทเอไอเอสตัวจริงในขณะนั้น ก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง และเป็นนายกรัฐมนตรี ถือครองอำนาจรัฐอยู่ในเวลานั้นด้วยนั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี