ขณะนี้กำลังมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นเกี่ยวกับความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรในภาคเหนือและภาคอีสานอันเนื่องมาจากภัยแล้ง และที่สำคัญคือสภาพที่แม่น้ำโขงแห้งขอด ปรากฏเป็นเกาะแก่งและหาดทรายกลางแม่น้ำโขงหลายแห่ง จนหลายพื้นที่ก็สามารถเดินข้ามได้
แล้วก็มีการกล่าวหาว่าที่แม่น้ำโขงแล้งนั้นเป็นเพราะมีการกักเก็บน้ำไว้ทางด้านเหนือน้ำ หรือนัยหนึ่งก็คือการกล่าวหาด่าว่าประเทศที่อยู่เหนือน้ำว่าเป็นต้นเหตุ
ของการทำให้แม่น้ำโขงแห้งเหือด และแน่นอนว่าย่อมกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของจีน พม่า และลาว ซึ่งเป็นประเทศต้นน้ำ
แต่ไหนแต่ไรมาสภาพของแม่น้ำโขงก็มักจะแล้งในหน้าแล้งเสมอ ดังนั้นในแต่ละปีจึงสามารถเดินเรือขนส่งสินค้าไปมาหากันระหว่างประเทศต้นน้ำกับประเทศปลายน้ำได้ตามปกติแค่ 3-4 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นพอน้ำแห้งขอดลงการเดินเรือก็ไม่สะดวก การขนส่งก็ไม่สะดวก ที่พอขนได้บ้างก็เป็นการขนของข้ามฟากโดยใช้เรือเล็กเท่านั้น
และเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการทำข้อตกลงกันระหว่างจีนกับเวียดนามและจีนกับลาว ในการเปิดเส้นทางขนส่งพืชผลทางการเกษตรและสินค้าอื่นโดยทางบก ซึ่งถ้าขนส่งผ่านทางลาวและเวียดนามแล้วก็จะได้รับค่าส่วนลดภาษีอากรขาเข้าในอัตราเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ครั้นต่อมาก็ได้พัฒนาให้พื้นที่ชายแดนจีนกับเวียดนามที่มณฑลกวางสี ตรงพื้นที่ด่านผิงสิงก่วนให้เป็นเขตการค้าพิเศษชายแดน โดยสินค้าที่ผ่านจากเวียดนามเข้าจีนทางเขตการพิเศษชายแดนนี้ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีเพียง 4% อัตราเดียวเท่านั้น ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบที่สุด เพราะสินค้าไทยไปจีนจะต้องเสียภาษีในอัตรา 15% ซึ่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครหน้าไหนคิดอ่านจะแก้ไขเลย
เพราะเล็งเห็นสภาพดังกล่าว บุคคลสำคัญที่สุดท่านหนึ่งของประเทศจึงได้หารือกับผู้นำจีนระดับกรรมการประจำกรมการเมือง ดำริให้มีการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงจากแม่น้ำแห่งอาชญากรรมและยาเสพติดในอดีต ให้กลายเป็นแม่น้ำแห่งสันติภาพและการพัฒนา
และมีดำริให้ประเทศต้นน้ำได้ร่วมมือกันในการจัดทำแผนปล่อยน้ำที่เหลือใช้ลงสู่แม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีเพื่อให้สามารถเดินเรือได้เป็นปกติตลอดทั้งปี
และให้มีการขุดลอกแม่น้ำโขงให้เดินเรือได้โดยสะดวก
ผู้นำจีนก็รับสนองดำรินั้นและได้จัดให้มีการประชุมซันย่าขึ้นโดยมีวาระพิเศษ และได้ออกเป็นปฏิญญาซันย่าซึ่งมี 6 ประเทศเข้าร่วม คือ จีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งลงนามกันไปเรียบร้อยแล้ว
ตามปฏิญญาซันย่านั้นคือข้อตกลงร่วมกัน 6 ประเทศในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงที่เชื่อมต่อตั้งแต่จีน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ให้เป็นแม่น้ำแห่งการท่องเที่ยวและการค้าตลอดทั้งปี
โดยจะเปิดให้มีการเดินเรือท่องเที่ยวขนาดยักษ์ 6 ประเทศ สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้ามาท่องเที่ยวได้ถึง 6 ประเทศ ในหลากหลายวัฒนธรรมและมีความสวยงามเป็นเลิศติดลำดับโลกด้วย รวมทั้งให้เป็นแม่น้ำแห่งการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่าง 6 ประเทศที่จะมีต้นทุนถูกมาก ซึ่งแผนการเดิมนั้นบรรดาท่าเรือท่องเที่ยวยักษ์และท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์จะตั้งอยู่ฝั่งไทย ตั้งแต่เชียงรายลงไปถึงนครพนม มุกดาหาร
ประเทศไทยจะได้เปรียบมากที่สุดเพราะตั้งอยู่กลางน้ำและเป็นศูนย์กลางของอาเซียนตอนบนด้วย หากโครงการนี้บรรลุผลสำเร็จ ทั้งภาคเหนือและภาคอีสานของไทยก็จะสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งจะก่อเกิดรายได้มหาศาลแก่ประชากรในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน
และจะบังเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ภาคเกษตรที่จะสามารถขนส่งไปค้าขายทั้งประเทศต้นน้ำและปลายน้ำได้โดยสะดวกตลอดทั้งปี ผลประโยชน์สูงสุดจะบังเกิดขึ้นกับประเทศไทย
แต่เพราะปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศจึงมีประเทศมหาอำนาจไม่ต้องการให้ประเทศไทยเชื่อมต่อทางลุ่มแม่น้ำโขงกับชาติใดๆ
ดังนั้นแม้ได้ลงนามในปฏิญญาซันย่าดังกล่าวแล้ว แต่ในที่สุดเมื่อถึงขั้นปฏิบัติตามแผนงานตามปฏิญญาซันย่า ประเทศไทยก็มิได้เข้าร่วม เป็นเหตุให้ 5 ประเทศที่เหลือร่วมมือกันพัฒนาแม่น้ำโขงต่อไป และได้มีการย้ายท่าเรือต่างๆ จากฝั่งไทยไปอยู่ฝั่งพม่าและลาว ทำให้ประเทศไทยถูกตัดขาดจากการใช้ประโยชน์ในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแลนด์ล็อกทางด้านเหนือและอีสานไปโดยอัตโนมัติ
มีการสมรู้และสมคบกันจ้างเอ็นจีโอบางกลุ่มให้ระดมผู้คนคัดค้านการขุดลอกแม่น้ำโขงเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการไม่เชื่อมต่อประเทศไทยกับประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีข้ออ้างข้อเดียวคือกระทบต่อระบบนิเวศ ทำให้ปลาผสมพันธุ์ไม่ได้
ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะปลาในแม่น้ำโขงในส่วนพื้นที่ผ่านประเทศไทยนั้นไม่ใช่แหล่งเพาะพันธุ์ เนื่องจากแหล่งเพาะพันธุ์ปลาทั้งหมดอยู่ที่ต้นน้ำและที่มากสุดคือที่พม่าและลาว พันธุ์สัตว์น้ำเหล่านี้เมื่อถึงเทศกาลหน้าน้ำก็จะมาตามกระแสน้ำมาที่ประเทศไทย ทำให้พี่น้องในพื้นที่สามารถจับปลาหารายได้ได้
ดังนั้นการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงแท้จริงจึงมิได้กระทบต่อระบบนิเวศดังกล่าว แต่เมื่อประเทศไทยไม่เข้าร่วมในการดำเนินงาน ทั้ง 5 ประเทศที่เหลือเขาก็ร่วมกันพัฒนาต่อไปโดยไม่ต้องผ่านหรือไยดีกับประเทศไทย แม่น้ำโขงส่วนที่ลึกก็จะอยู่ฝั่งพม่าและลาว ฝั่งที่แห้งตื้นเขินก็จะอยู่ฝั่งไทย พอถึงเทศกาลหน้าแล้ง แม้กระทั่งต้นฤดูฝนแล้วก็ยังแห้งเหือดดังสภาพที่เป็นอยู่
และถ้าการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงเดินหน้าต่อไปก็ค่อนข้างจะแน่ชัดว่าริมแม่น้ำโขงฝั่งไทยจะแห้งขอดมากขึ้น อย่าว่าแต่จะจับปลาเลย แม้แต่น้ำก็จะไม่มี จะทำให้สายน้ำทั้งหลายที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงแห้งขอดตามไปด้วย
นี่ก็คือหายนะของพี่น้องประชาชนในภาคเหนือและภาคอีสานที่เกิดขึ้นจากการไม่ตั้งตนอยู่ในผลประโยชน์แห่งชาติ และเอนเอียงเป็นฝักฝ่ายให้กับความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องรีบแก้ไขให้เร็วที่สุดก่อนที่จะไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี