ถึงวันนี้จะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจเนื้อหาสาระของสงครามการค้าอย่างถูกต้องถ่องแท้ เพราะเท่าที่สดับรับฟังดูนั้นก็เห็นแต่อาการกระต่ายตื่นตูม หรือไม่ก็เป็นอาการอวดอ้างภูมิรู้ว่าเป็นผู้รู้แล้วชักชวนกันให้ตื่นตระหนกตกใจแต่ไม่เป็นอันทำอะไร กลายเป็นว่าการสร้างความตื่นตระหนกตกใจเป็นภูมิปัญญาอันประเสริฐไปเสียแล้ว
ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจเรื่องสงครามการค้ากันให้ถูกต้องถ่องแท้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลร้ายและช่วงชิงผลประโยชน์ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ อันจะมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจว่าเมื่อเขาเรียกกันว่าเป็นสงคราม ก็ย่อมมีทั้งการทำลายล้างและการสร้างสรรค์ควบคู่กันไป และเมื่อเป็นสงครามก็เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และกลยุทธ์ทั้งหลายแม้ว่าสงครามการค้านั้นจะไม่ใช่ที่สงครามที่หลั่งเลือดก็ตาม แต่ก็อาจก่อให้เกิดความพินาศฉิบหายวายวอดแก่ประเทศที่ไม่เข้าใจ หรือหลงผิดจมปลักลงไปในความผิดพลาดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลจนสุดประมาณหากว่ามีสติปัญญาความสามารถและจัดการกับเรื่องสงครามการค้านี้ได้โดยถูกต้อง
โลกทุกวันนี้แบ่งออกเป็นสองขั้วอำนาจ และสัประยุทธ์ชิงชัยกันในทุกสมรภูมิและทุกปริมณฑล ซึ่งแต่ละฝ่ายก็ใช้กลไกขับเคลื่อน ตลอดจนยุทธศาสตร์ที่แตกต่างกัน
ขั้วแรก คือขั้วของนาโตและพันธมิตรนอกนาโตที่นำโดยสหรัฐ โดยมีองค์กรด้านเศรษฐกิจคือ G20 เป็นกลไกขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และถือยุทธศาสตร์ “ความขัดแย้งและสงคราม”ต่อเนื่องมาตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง
การขับเคลื่อนของขั้วอำนาจนี้ไปถึงไหนไม่ว่าทางเปิดหรือทางลับก็มุ่งสร้างความขัดแย้งขึ้นในทุกพื้นที่ ทุกภูมิภาค ด้วยรูปแบบหลากหลายไม่ว่าการสนับสนุนให้เกิดการรัฐประหาร การเปลี่ยนรัฐบาล ให้มาเป็นรัฐบาลทรราชขายชาติและเป็นสมุนของขั้วอำนาจ จนกระทั่งถึงการส่งแสนยานุภาพเข้ายึดครอง ที่อาจเริ่มต้นตั้งแต่การตั้งฐานทัพไปจนถึงการเปิดศึกสงครามเข้ายึดเอาดื้อๆ
และล่าสุดก็ได้พัฒนาไปถึงขั้นจัดตั้งกลุ่มก่อการร้ายเข้าไปบ่อนทำลายประเทศต่างๆ หรือเข้าไปก่อการร้ายเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าไปจัดตั้งฐานทัพหรือยึดครอง หรือให้มีการแบ่งแยกดินแดน
ปรากฏการณ์ทั้งหลายในโลกหลายสิบปีมานี้ได้พิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว
ขั้วที่สอง คือขั้วอำนาจที่เกิดขึ้นใหม่ ที่เกิดจากการเริ่มรวมตัวกันของบรรดาประเทศทั้งหลายที่ได้รับผลประทบหรือเคยได้รับผลกระทบจากการกระทำของขั้วแรก โดยได้ร่วมกันก่อตั้งเป็นองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ และมีกลไกที่เป็นองค์กรด้านเศรษฐกิจคือกลุ่ม BRICS และมีองค์กรสนับสนุนทางการเงินที่มีศักยภาพสนับสนุนทางการเงินให้แก่ประเทศต่างๆ ได้ทั่วโลกคือ AIIB
ดังนั้นขั้วที่สองนี้จึงจัดกระบวนในลักษณะเดียวกันกับขั้วแรก คือ กระบวนทางด้านแสนยานุภาพซึ่งมีรัสเซียเป็นหัวเรือใหญ่ และกระบวนทางด้านเศรษฐกิจซึ่งมีจีนเป็นหัวเรือใหญ่ โดยมีบรรดาประเทศในกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้และกลุ่ม BRICS เป็นกลไกขับเคลื่อนไปพร้อมกัน
ขั้วที่สองนี้ได้ถือยุทธศาสตร์ “สันติภาพและการพัฒนา” เพราะเชื่อว่ายุทธศาสตร์สันติภาพและการพัฒนานี้จะสามารถรับมือและเอาชนะยุทธศาสตร์ความขัดแย้งและสงครามได้
การต่อสู้แข่งขันกันในปริมณฑลทั่วโลกและในภูมิภาคต่างๆ จึงเป็นการแข่งขันและต่อสู้กันของสองขั้วอำนาจ ทั้งสมรภูมิแสนยานุภาพทางทหารและทั้งสมรภูมิทางเศรษฐกิจ โดยต่างก็มีกลไกและยุทธศาสตร์ที่พรั่งพร้อม และผลในปัจจุบันก็คือขั้วที่สองนอกจากสามารถยันการรุกทุกสมรภูมิของขั้วแรกได้แล้ว ยังสามารถขยายผลเชิงรุกไปยังกลุ่มประเทศในกลุ่มขั้วที่หนึ่งได้สำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่เรียกว่าสงครามการค้านั้นแม้เป็นกลยุทธ์หนึ่งของกลุ่มขั้วแรก แต่แท้จริงแล้วก็มีเพียงสหรัฐที่เป็นเจ้ามือในการเคลื่อนไหวขับเคลื่อนเรื่องนี้แต่เพียงชาติเดียว เพราะบรรดาพันธมิตรต่างๆ ของขั้วที่หนึ่งไม่เอาด้วยช่วยกัน
เพราะเหตุที่สงครามการค้านั้นได้ชูธงผูกขาดทางการค้า ในขณะที่โลกได้ก้าวไปข้างหน้าในลักษณะเปิดกว้างหรือที่เรียกว่าเสรีทางการค้ามาหลายสิบปีแล้ว และบรรดาประเทศทั้งหลายก็มีความเห็นพ้องต้องกันว่าการผูกขาดทางการค้านั้นเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่คู่ค้าและประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ดังนั้นแม้ไม่มีมิตรประเทศใดเข้าร่วม แต่ด้วยความจำเป็นในด้านงบประมาณของสหรัฐ ที่ได้ใช้ไปในการทหารเป็นจำนวนมหาศาลหลายสิบปีจนกระทั่งหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มได้อีก ดังนั้นจึงต้องอาศัยหนทางรอดอย่างเดียวคือสงครามการค้า
สิ่งที่เรียกว่าสงครามการค้านั้น มีเนื้อหาของสงครามนี้สองประการคือ
ประการแรก คือการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของสหรัฐและเป็นแหล่งรายได้สำคัญเพียงอย่างเดียวของสหรัฐ และกรรมวิธีก็คือการสร้างปัญหาความขัดแย้งขึ้นโดยมุ่งเน้นที่ภูมิภาคแปซิฟิกและตะวันออกกลาง
ผลจากการใช้กลยุทธ์นี้ทำให้สหรัฐสามารถขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่มิตรประเทศของสหรัฐเองเป็นจำนวนมหาศาลครั้งประวัติศาสตร์ คือเพียงระยะเวลาสองปีเศษก็สามารถขายอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าการขายในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาหลายสิบปี ทำให้ภาระงบประมาณค่อยผ่อนคลายลง แต่ก็ยังแก้ไม่ตกอยู่นั่นเอง เพราะตราบใดที่ยังคงฐานทัพบก 800 แห่ง และกองเรือ 10 กองไว้ทั้งโลก ก็ไม่มีทางที่จะหาเงินมาค้ำจุนได้อย่างเพียงพอ ดังนั้นการกดดันและสร้างสถานการณ์ขายอาวุธจึงยังคงดำเนินต่อไป
และบัดนี้กลยุทธ์นี้กำลังขยายมาใช้ในประเทศอาเซียนแล้ว และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายที่จะต้องถูกบังคับซื้อ โดยจำนวนนั้นยังไม่มีการแถลงหรือปรากฏอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง
ประการที่สอง คือการเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลสหรัฐในรูปของภาษีขาเข้า ซึ่งก็คือการขึ้นอัตราภาษีขาเข้าของบรรดาสินค้าทั้งหลายที่ส่งเข้าไปขายในสหรัฐ และเริ่มที่ประเทศจีน ซึ่งมีการขึ้นภาษีขาเข้าเอากับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนสูงสุดถึง 25% แต่ทว่าผู้ที่รับภาระในการจ่ายแท้จริงก็คือบริษัทภาคธุรกิจและชาวอเมริกันเองทั้งสิ้น จึงเกิดกระแสต่อต้านขึ้นอย่างกว้างขวาง
ดังนั้นปรากฏการณ์หย่าศึกในสงครามการค้ากับจีนจึงปรากฏให้เห็น แต่ไม่ได้หมายความว่ากลยุทธ์นี้จะไม่นำไปใช้กับประเทศอื่นที่มีศักยภาพในทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมอื่นๆ ด้อยกว่าประเทศจีน
เหตุนี้บรรดาประเทศอาเซียนจึงตกเป็นเป้าหมายของการใช้กลยุทธ์นี้ และประเทศไทยรวมทั้งเวียดนามและสิงคโปร์ก็คือเป้าหมายหลักของการใช้กลยุทธ์นี้ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาล รัฐสภา กองทัพ และประชาชน จะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ถูกต้องถ่องแท้และคิดอ่านวางแผนในการเอาประเทศชาติให้รอดปลอดภัย เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยและคนไทยยืนอยู่ได้
ประเทศอาเซียนมีสิบประเทศก็จริง แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ที่สำคัญคือพม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งตกเป็นเป้าทางยุทธศาสตร์ทางทหาร ได้ตระหนักถึงภัยพิบัติเป็นอย่างดี จึงหันไปจับมือกับจีน รัสเซีย และองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้อย่างแน่นหนา ชนิดที่ปักหลักสู้อย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว
ส่วนฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียมีประสบการณ์และรู้เช่นเห็นชาติเป็นอย่างดีถึงอันตรายที่จะถูกแบ่งแยกดินแดนดังนั้นแม้ไม่อยากเป็นศัตรูกับใครจึงหันไปจับมือกับรัสเซียและจีนอย่างแน่นแฟ้น มีความพร้อมอย่างสูงสุดที่จะผนึกเข้ากับพม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย
สำหรับเวียดนามนั้นเคยทำศึกสงครามกับสหรัฐและจีนมา เป็นความรู้สึกที่ฝังใจ ในขณะที่เวียดนามไว้วางใจรัสเซียตลอดมา ดังนั้นจุดยืนของเวียดนามจึงไม่เหมือนกับประเทศอาเซียนทั่วไป คือไม่อาจเป็นฝักฝ่ายกับประเทศใดอย่างชัดแจ้งเกินไป
ในขณะที่บรูไนนั้นถือตนเป็นประเทศเล็ก ไม่ฝักใฝ่กับใคร จึงสามารถเอาตัวรอดได้
จึงคงเหลือแต่ไทยและสิงคโปร์ ว่าจะเอาแบบอย่างของอิรัก ซีเรีย และลิเบียหรือไม่ จึงเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องสำเหนียกสังวรไว้ให้จงหนัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี