สหรัฐได้ถอนตัวจากข้อตกลงจำกัดขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางกับรัสเซียไปแล้ว เป็นผลให้สหรัฐและรัสเซียรวมทั้งประเทศที่ไม่ได้เป็นภาคีข้อตกลงดังกล่าวสามารถที่จะติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางในประเทศใดที่ยอมรับให้ติดตั้งได้
ขีปนาวุธนิวเคลียร์ดังกล่าวนี้ก็คือจรวดหรือขีปนาวุธที่ติดหัวรบนิวเคลียร์ที่มีพิษสงในการทำลายล้างสูงในระดับเท่ากับหรือมากกว่าระเบิดปรมาณูที่สหรัฐเคยถล่มญี่ปุ่นที่เมืองนางาซากิและฮิโรชิมามาแล้ว เป็นเหตุให้ชาวญี่ปุ่นตายและบาดเจ็บเกือบหมดทั้งเมือง เป็นโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจนถึงบัดนี้
สหรัฐได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางดังกล่าวนี้ในบรรดาประเทศอาเซียน เพราะมีรัศมีทำการและหวังผลถึงประเทศจีน เกาหลีเหนือ และอิหร่านด้วย พูดง่ายๆ ก็คือการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ดังกล่าวนี้ในประเทศอาเซียนก็เพื่อยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ถล่มประเทศจีน เกาหลีเหนือและอิหร่านนั่นเอง
และเป็นที่แน่นอนว่าเมื่อสหรัฐสามารถติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถยิงถล่มประเทศจีน เกาหลีเหนือและอิหร่านได้ ประเทศเหล่านั้นซึ่งมีขีปนาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธทั้งพิสัยใกล้ พิสัยกลาง พิสัยไกล ครบถ้วนสมบูรณ์ และมีแสนยานุภาพไม่ได้น้อยกว่าของสหรัฐ ก็ย่อมเตรียมพร้อมที่จะตั้งรับและตอบโต้หากว่าจะมีการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์นั้นไปยังประเทศเหล่านี้
สำหรับจีนนั้นเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่ามีขีปนาวุธนิวเคลียร์ความเร็วเหนือเสียงที่มีพิสัยการยิงทุกพิสัย และระยะไกลสุดก็สามารถยิงถึงสหรัฐและยุโรปในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น และจีนก็ยังมีรัสเซียเป็นพันธมิตรนิวเคลียร์ที่ไม่แพ้กลุ่มมหาอำนาจใดในโลก
ส่วนเกาหลีเหนือนั้นได้ทดสอบขีปนาวุธทั้งพิสัยใกล้ พิสัยกลาง และพิสัยไกล จนได้รับการยอมรับแล้วว่ามีขีดความสามารถและศักยะการยิงถึงสหรัฐได้ ไม่ต้องพูดถึงการยิงมายังประเทศอาเซียนไม่ว่าประเทศใดก็ตาม
สำหรับอิหร่านนั้นแม้ไม่แน่ชัดว่ามีขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยไกลหรือไม่เพราะยังคงเป็นความลับทางการทหาร แต่ใครจะคาดคิดได้ว่าไม่มี
ส่วนขีปนาวุธพิสัยใกล้และพิสัยกลางของอิหร่านนั้นได้รับการยอมรับจากทั่วโลกแล้วว่ามีความทันสมัย จนถูกจัดเป็นมหาอำนาจแนวหน้าในด้านขีปนาวุธของโลกไปแล้ว
ที่สำคัญคือ 30 ปีที่ผ่านมานี้ อิหร่านได้ซุ่มเงียบพัฒนาขีปนาวุธประเภทต่างๆ รวมทั้งขีปนาวุธล่องหนอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นภารกิจหลักในการตั้งหลักนิยมอาวุธของอิหร่าน จึงทำให้อิหร่านได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีขีปนาวุธมากที่สุดในโลกคือมีจำนวนหลายแสนลูก เฉพาะที่เตรียมใช้ปฏิบัติการต่ออิสราเอลและซาอุดีอาระเบียก็มีจำนวนนับแสนลูกแล้ว
ดังนั้นทั้งจีน เกาหลีเหนือและอิหร่าน จึงมีพิษสงในทางขีปนาวุธและขีปนาวุธนิวเคลียร์ไม่ได้ด้อยกว่าสหรัฐ และเมื่อใดก็ตามที่ประเทศใดในอาเซียนยอมรับให้สหรัฐเข้ามาติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์แล้ว นอกจากจะแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าเป็นศัตรูคู่ศึกกับจีน เกาหลีเหนือและอิหร่านอย่างเปิดเผยแล้ว ก็เท่ากับแสดงท่าทีอย่างเปิดเผยในการตั้งตนเป็นข้าศึกกับกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ รวมทั้งรัสเซียด้วย
ผลจากท่าทีในทางการเมืองและการต่างประเทศย่อมเกิดผลกระทบตามมา เพราะเมื่อเปลี่ยนความสัมพันธ์จากประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดหรือไม่เป็นศัตรูกับใคร มาเป็นคู่ศึกสงครามที่ติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถถล่มทำลายประเทศของเขาเหล่านั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทุกด้านกับประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะจีน อิหร่านและเกาหลีเหนือ ก็จะเป็นปรปักษ์แก่กันและทำลายล้างกันโดยไม่ต้องสงสัย
สำหรับทางการทหารและแสนยานุภาพก็เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อประกาศตนเป็นข้าศึกแก่กันแล้ว ทั้งจีน เกาหลีเหนือและอิหร่านก็มีสิทธิ์ที่จะเตรียมการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์เพื่อถล่มประเทศใดก็ตามที่ติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์สำหรับใช้ถล่มประเทศของเขาได้
ดังนั้นประเทศใดที่ยอมรับให้สหรัฐเข้ามาติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์เพื่อเตรียมถล่มจีน เกาหลีเหนือและอิหร่าน จึงตกเป็นเป้าหมายในการถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์เช่นเดียวกันด้วย ดังนั้นประเทศทั้งหลายในอาเซียนย่อมต้องคิดใคร่ครวญให้จงหนัก
เพราะเหตุที่ฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์นั้นมีความสำคัญในทางการทหารอย่างยิ่งยวด ดังนั้นแม้ชื่อภายนอกจะเป็นแค่การตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ แต่ผลแท้จริงทางการทหารก็คือการตั้งฐานทัพในประเทศที่ยอมรับการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์นั่นเอง
หมายความว่าประเทศใดก็ตามที่ยอมให้มีการตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ก็คือการยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศของตน ย่อมกระทบต่อเอกราชอธิปไตยอย่างร้ายแรงอีกสถานหนึ่ง
เมื่อครั้งทำสงครามเวียดนาม ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหรัฐและยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยเพื่อเอาระเบิดไปถล่มเวียดนาม จนชาวเวียดนามล้มตายบาดเจ็บนับล้านคน เป็นบาดแผลเหวอะหวะอยู่ในประวัติศาสตร์ และต้องใช้เวลานับครึ่งศตวรรษบาดแผลนั้นจึงค่อยเจือจางลงไป
จึงทำให้ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ฟื้นคืนเป็นปกติและไว้วางใจกันดังเดิม ที่สำคัญก็คือประชาชนไทยได้พร้อมใจกันเดินขบวนขับไล่ฐานทัพสหรัฐออกไปจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีวีรชนผู้รักชาติถูกลอบสังหาร ถูกจับติดคุกติดตะรางไปเป็นจำนวนมาก และในที่สุดสหรัฐก็จำต้องยอมถอนฐานทัพในยุครัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเดินทางมาร่วมประชุมอาเซียนในประเทศไทยเมื่อไม่กี่วันมานี้ พร้อมกับแสดงเจตจำนงที่จะจัดตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ในอาเซียน โดยมีเป้าหมายที่จีน เกาหลีเหนือและอิหร่าน ซึ่งถึงวันนี้ก็ไม่มีคำตอบใดๆ จากประเทศอาเซียน
แต่ใช่ว่าความพยายามและความกดดันต่างๆ เพื่อตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์จะหมดไป
ในประเทศอาเซียน 10 ประเทศนั้น ขณะนี้แน่ชัดแล้วว่า เมียนมา ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ไม่ยอมให้มีการติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์โดยเด็ดขาดเพราะได้หันไปจับมือกับรัสเซียและจีนแน่นแฟ้นไปแล้ว
สำหรับเวียดนามนั้นขยาดศึกสงครามและเห็นพิษร้ายจากสงครามเวียดนาม ทั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซีย และไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจีน
ในขณะเดียวกันแม้ทำศึกสงครามกับสหรัฐมายาวนานก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับสหรัฐเช่นเดียวกัน ดังนั้นเวียดนามจึงไม่มีวันที่จะยอมให้ตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์อย่างแน่นอน
ส่วนฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียได้กระชับความร่วมมือกับรัสเซียและจีนอย่างแน่นแฟ้น ถึงขนาดที่ยอมให้จีนและรัสเซียช่วยเหลือทางการทหารในการต่อต้านไอซิสให้เห็นประจักษ์มาแล้ว สองประเทศนี้ก็ไม่มีวันที่จะยอมให้ตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์โดยเด็ดขาด
ส่วนบรูไนนั้นเป็นประเทศเล็กและไม่พยายามไม่เป็นศัตรูหรือคู่ขัดแย้งกับใคร ทั้งประเทศที่มีความมั่งคั่ง ไม่แคร์แรงกดดันจากต่างประเทศ บรูไนจึงไม่มีวันที่จะยอมให้ตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน
ดังนั้นประเทศอาเซียนที่เหลืออยู่จึงมีเพียงสองประเทศคือไทยและสิงคโปร์ สำหรับสิงคโปร์นั้นไม่เหมาะที่จะใช้เป็นฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ หากถูกกดดันมากๆ สิงคโปร์ก็พร้อมจะใช้วิธียอมซื้ออาวุธแทนการยอมตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งสิงคโปร์ก็รู้ว่าอันตรายขนาดไหน
ที่สำคัญ สิงคโปร์ได้กระชับความร่วมมืออย่างทั่วด้านทั้งกับรัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ รวมทั้งได้ทำมาค้าขายร่วมกันโดยไม่สนใจการแซงก์ชั่น เพราะถือว่าได้ซื้ออาวุธทดแทนแล้ว
สภาพการณ์ของประเทศอาเซียนเป็นเช่นนี้ แรงกดดันจึงน่าจะหนักมาที่ประเทศไทย เพราะชั่วระยะเวลาตั้งแต่มีการเลือกตั้ง ประเทศไทยก็ต้องซื้ออาวุธถึงสามครั้งแล้ว เป็นมูลค่ารวมกันกว่า 10,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐแล้ว แต่ยังนับว่าน้อยถ้าหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ถูกขอให้ซื้ออาวุธ ดังนั้นแรงกดดันต่อประเทศไทยจึงน่าจะหนักหน่วงกว่าประเทศอื่นๆ
แล้วทำอย่างไรประเทศไทยจึงจะรอดปลอดภัยจากการถูกใช้เป็นฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ ก็มีแต่ทางเดียวเท่านั้นคือความไม่ต้องการของประชาชนชาวไทย ซึ่งรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ได้ใช้พลังเช่นว่านี้ในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐจนต้องมีการถอนฐานทัพออกไป
ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าจำเป็นจะต้องพร้อมเพรียงน้ำใจสามัคคีกันเป็นกำลังแผ่นดินสนับสนุนรัฐบาล
ในการรับมือกับแรงกดดันดังกล่าว เพราะถ้าหากประชาชาติไทยทั้งผองไม่ยอมรับแล้ว รัฐบาลก็ไม่อาจที่จะยอมรับให้มีการติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ในประเทศไทยได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี