ชาวไทยที่สนอกสนใจเรื่องการบ้านการเมือง ย่อมจะทราบกันโดยทั่วไปว่าคุณภาพของคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำพาของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นด้อย และไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ นอกจากนั้นต่างก็ยังรู้สึกชิงชังในใจว่าเหตุใด นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จึงไม่เพียรพยายามในการหาทีม หาบุคคลแวดล้อมที่มีคุณภาพกว่านี้มาร่วมทำงานด้วย หรือว่ากรุงรัตนโกสินทร์จะสิ้นคนดีเสียแล้ว?
บัดนี้ เรื่ององค์ประกอบ และการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีได้ผ่านพ้นไปแล้ว แม้พวกเราชาวประชาจะอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็คงต้องทนฝืนกล้ำกลืนกันต่อไป และพยายามปลอบใจตัวเองว่า คงจะพอฝากความหวังไว้กับถ้อยแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาได้บ้าง โดยต่างก็มุ่งหวังว่า คงจะมีอะไรดีๆ ให้ได้ยินได้ฟัง และได้เห็นเป็นที่ประจักษ์กันไม่มากก็น้อย
แต่จนแล้วจนรอด ตลอดการแถลงนโยบายรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 และ 26 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา ชาวประชาชนไทย
ก็ผิดหวังเป็นซ้ำสองอีก เพราะเนื้อหาของถ้อยแถลงกล่าวโดย
นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ นั้น เต็มไปด้วยน้ำแกง ที่ไม่มีเนื้อ นอกจากนั้นยังเป็นแค่แกงจืด ไม่ใช่แกงเผ็ด หรือแกงต้มยำใดๆ ให้คนชิมได้รู้สึกเอร็ดอร่อย
ประเด็นสำคัญก็คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรีของเขา และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ยังสับสนระหว่างภารกิจทั่วๆ ไป กับนโยบายสำคัญของรัฐบาล
เพราะในเรื่องภาระหน้าที่พื้นฐานนั้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน หรือรัฐบาลหนึ่งใดของโลก ก็ต้องทำกันทั้งนั้น ซึ่งมีเครื่องมือกลไก อันได้แก่ หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรรัฐอื่นๆ เป็นผู้ปฏิบัติ ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาเขียน มาพูดให้ชาวบ้านชาวช่องฟังกัน เพราะต่างถูกระบุอยู่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือไม่ก็เป็นเรื่องสามัญสำนึกที่คณะรัฐมนตรี หรือคณะรัฐบาลใด จะต้องดำเนินการขับเคลื่อนอยู่แล้ว
และเมื่อสับสนแล้ว ก็เลยยกเอาเรื่องพื้นๆ หรือเรื่องพื้นฐานนั้น มาเป็นนโยบายหลัก หรือนโยบายเร่งด่วน กันไปอย่างงงๆ
โดยแนวคิดพื้นฐานของการแถลงนโยบายของรัฐบาลนั้น จะต้องเป็นการประกาศเรื่องที่สำคัญจริงๆ ชนิดที่คณะรัฐบาลมุ่งประสงค์จะบรรลุเป้าหมายแล้ว จะส่งผลถึงความเจริญก้าวหน้าของประเทศ สร้างผลเป็นความผาสุกของประชาชน
ซึ่งการจะมีนโยบายที่จะประกาศได้นั้น คณะรัฐมนตรีจะต้องรู้ประเด็นปัญหาของประเทศอย่างลึกซึ้ง ต้องรู้จุดอ่อน จุดแข็ง ต้องรู้ความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะได้สามารถจัดลำดับความสำคัญของเรื่องที่จะต้องดำเนินการ เพื่อที่จะลดขจัด ประเด็นปัญหา หรือเพื่อนำเอาศักยภาพไปสู่ผลที่สร้างสรรค์ไปสู่ความเป็นจริง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมทั้งรัฐมนตรีที่สืบทอดตำแหน่งมาจากรัฐบาลชุดที่แล้วหลายๆ คน บวกกับรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่ล้วนแต่เจนจัดในสนามการเมืองกันทั้งนั้น ต่างน่าจะรู้ดีว่าจะวางนโยบายอย่างไร เพื่อที่จะให้สังคมไทยสามารถก้าวหน้า ก้าวกระโดดไปได้อย่างมั่นคง และยั่งยืนกันอย่างไร น่าแปลกใจที่ต่างเป็นมืออาชีพทางการเมืองกันทั้งนั้น แต่ทว่าถ้อยแถลงนโยบายที่ได้ร่วมกันออกมาประกาศนั้น กลับเหมือนเป็นการนั่งเทียน ขีดเขียน ดูเป็นฝีมือระดับ “นักสมัครเล่น” กันทั้งนั้น หรือว่าหลงลืมกันไปว่า งานบ้านงานเมืองนั้น มิใช่เป็น “ของเล่น” หรือ “เรื่องเล่นๆ”
แล้วฉะนั้น เมื่อประชาชนฟังนโยบายแล้ว ก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจเป็นหนที่สอง เพราะดูว่าคงจะพากันเข้ารกเข้าพง พาประเทศไปสู่ทางตันอีกเป็นแน่แท้
นอกจากนั้นประชาชนเขาก็ยังเป็นห่วง ว่ามีการจะบริหารงานแบบเดิมๆ นั่นคือไม่ฟังเสียงใคร มุ่งหน้าไปตามใจตนดุ่ยๆ โดยเฉพาะเมื่อวันนี้ ที่สามารถอ้างได้ด้วยว่า “ฉันมาจากการเลือกตั้ง” ก็อาจจะยิ่งทำให้ ทะนงและคะนองว่า มีอำนาจอยู่ในมือแล้ว ผู้ใดจะมาแตะต้องได้ไม่ ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้นในระบอบประชาธิปไตย ก็ถือว่าเป็นการท้าทายประชาชน และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ประชาชนเขาก็พร้อมตอบสนองต่อคำท้า
ไม่ว่าจะเพราะมีความมั่นใจในตนเองสูง หรือจะเพราะอำนาจครอบงำจิตใจ ทำให้รำคาญใจ เมื่อมีใครทักท้วง แสดงความคิดเห็นที่ต่าง ก็เลยไม่อยากฟัง แต่อย่างน้อย ก็อยากให้ผู้นำรัฐบาลได้ลองศึกษาแนวนโยบายและวิสัยทัศน์ของ นายบอริส จอห์นสัน (Boris Johnson) นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของอังกฤษ ซึ่งได้มีถ้อยแถลงต่อสาธารณชนที่หน้าทำเนียบนายกรัฐมนตรี ที่ถนนดาวนิ่ง เลขที่ 10 และมีถ้อยแถลงต่อรัฐสภาอังกฤษ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการให้สัตยาบันและการอ่านนโยบายรัฐบาลของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อรัฐสภาไทยกันบ้าง
นายบอริส ได้ประกาศเป็นสัญญาประชาคมกับคนอังกฤษ มีใจความสรุปว่า
- จะนำพาอังกฤษสู่ยุคทอง (The Golden Age) เพราะอังกฤษมีขีดความสามารถทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีองค์ความรู้ (การวิจัยค้นคว้า ทดลอง พัฒนา) ซึ่งเกี่ยวกับกิจกรรมอวกาศ การสื่อสาร เทคโนชีวภาพ อาหาร การบริหารจัดการและอุตสาหกรรมบริการ สามารถเป็นแหล่งลงทุนที่ดีพร้อมที่สุดในยุโรป
- มีการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างแน่นอน ในวันที่ 31 ตุลาคม 2562
- การทำมาค้าขายในกรอบกฎเกณฑ์กติกาขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization - WTO) ในเครือข่ายของสหประชาชาติ และการจัดทำความตกลงทวิภาคี เปิดเสรีทางการค้ากับประเทศต่างๆ
- การมีโครงสร้างความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตประจำวันของพลเมือง ด้วยการเพิ่มกำลังตำรวจอีก 20,000 คน
- การพัฒนาการศึกษา โดยมุ่งไปที่ระดับประถมและมัธยม ในมูลค่า 5,000 ปอนด์ (200,000 บาทต่อหัวต่อคน)
- การพัฒนาบริการทางสาธารณสุข โดยการเพิ่มโรงพยาบาลอีก 20 โรงพยาบาล
- การวางเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคม โดยระบบไร้สาย (fiber optic) ให้ทั่วประเทศอังกฤษ
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระจายการพัฒนาไปยังเขตห่างไกลและเขตล้าหลัง
- การลดภาษีต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้จ่ายเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- การพัฒนายกระดับแรงงานให้ตอบสนองกับธุรกิจสมัยใหม่
- การขยายความเป็นเลิศทางด้านการเกษตร และอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น
อีกทั้ง การทำงานเป็นทีม ด้วยทีมงานที่มีฝีมือ ประสบการณ์ มีอุดมการณ์ร่วม แต่ความรับผิดชอบในที่สุดอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญ
นายบอริสได้แสดงวิสัยทัศน์ กำหนดทิศทางในการนำพาอังกฤษอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการแสดงความเป็นผู้นำ (Leadership)ที่เด็ดเดี่ยว รับผิดชอบ และมุ่งแก้ไขจุดอ่อน รวมทั้งเพิ่มพูนจุดเด่นของอังกฤษ
เขาไม่เพ้อเจ้อ ไม่พูดอะไรเยิ่นเย้อ จะให้สัญญาอะไร ก็ที่เป็นเรื่องที่เขามีความรู้ รวมทั้งสามารถแยกแยะระหว่างนโยบายรัฐบาล กับงานประจำวัน (Routine) รวมทั้งแสดงให้สังคมได้เห็นว่า เขาเป็นผู้ที่เข้าใจปัญหา และกล้าตัดสินใจที่จะแก้ไข ปรับปรุง ให้อังกฤษเป็นเลิศ
ย้อนกลับมาเปิดอ่านถ้อยแถลงของ พลเอกประยุทธ์ แล้วก็ได้แต่ห่อเหี่ยวใจ
คงได้แต่กระซิบบอกกันตรงนี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องปรับกระบวนยุทธ์ โดยเริ่มจากการรับฟังคนอื่นบ้างเป็นอย่างแรก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี