“รัฐนาวา” ที่พยายามจะให้นิยามว่าเป็น “เรือเหล็ก” แทน “เรือแป๊ะ” ซึ่งทั้งสองคำเป็นนิยามของ “เนติบริกร”ที่ตอนนี้คงกำลัง “หัวหมุน” เรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณ “ไม่ครบถ้วน” ตามถ้อยคำในรัฐธรรมนูญ ที่หนังสือที่ตนเองเคยเขียนไว้ ว่าหากตกเพียงคำว่า “และ” คำว่า “หรือ” ก็อาจมีคนส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ ย้อนกลับมาไล่บี้ว่า แล้วรอบนี้ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถ้อยคำไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ที่ระบุว่า
ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ประเด็นนี้ กำลังเป็นอุปสรรคของการ “นำเรือออกจากฝั่ง” หมายความว่า กำลังถูกตั้งคำถามว่า มีศักดิ์มีสิทธิ์ในการบริหารราชการแผ่นดินโดยชอบ โดยสมบูรณ์แล้วหรือไม่
ระหว่างเก้ๆ กังๆ ว่า “นำเรือออกจากฝั่ง” ได้หรือยังนั้น ก็มาเจอปัญหา “พรรคเล็กร่วมรัฐบาล” ประกาศตัวเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ นำโดย มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์
“วันนี้พรรคเล็กทั้งหมด 10 พรรคถอยมามากแล้วเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ ดังนั้น การบริหารจัดการก็ต้องประนีประนอมโดยใช้ความรู้ความสามารถ แต่ในปัจจุบันเมื่อแต่งตั้ง ครม.แล้ว พวกเราได้รับการตอบสนองค่อนข้างน้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายที่ไม่ชัดเจน และตามรัฐธรรมนูญเรามีตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อนโยบายของพรรคมีเข้าไปจริง แต่เหมือนเป็นอีแอบ เราไม่มีตัวแทนเข้าไปอยู่ในฝ่ายบริหารเพื่อขับเคลื่อนนโยบายของพรรคได้ จึงเป็นอุปสรรค และการที่จะอภิปรายใดๆ ก็ตามในปัจจุบันค่อนข้างจะลำบาก เพราะเราติดสถานะความเป็นฝ่ายรัฐบาล เวลาพรรคเล็กจะยื่นปรึกษาหารือหรือตั้งกระทู้สดก็ต้องขอวิปรัฐบาลและเขาต้องดูข้อมูลก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่อึดอัด”
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นฝ่ายค้านอิสระเรื่องพวกนี้จะไม่ถูกท้วงติง ความทุกข์ร้อนของประชาชนจะไม่ถูกสกรีน มีอะไรก็พูดตรงๆ โดยไม่ต้องหมางใจกัน และอะไรที่ไม่ถูกต้องเราก็ต้องท้วงติง ถ้าหากท้วงติงไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร ฝ่ายค้านอิสระจะพูดอะไรได้เต็มปากเต็มคำ ซึ่งการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอิสระของพวกตนเริ่มต้นมา 2 เดือนแล้ว แต่สร้างความไม่พอใจให้กัฝ่ายรัฐบาล และมีหลายอย่างที่ทำให้พวกตนรู้สึกอึดอัด
“เมื่อเราเปิดสวิตช์ประเทศไทยแล้ว รัฐนาวาของพล.อ.ประยุทธ์ จะเดินไปได้อีก 1 เดือน 4 เดือน 6 เดือน หรือ 4 ปี ก็อยู่ที่หัวหน้าและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ จะแก้ไขปัญหาทางการเมืองนี้ได้ด้วยความสามารถเชิงการบริหารหรือไม่ ขอย้ำว่าแก้วที่มันร้าวมากแล้ว บังเอิญกาวตราช้างก็ไม่มีประสาน จึงทำให้ต่อติดค่อนข้างลำบาก” นายมงคลกิตติ์ กล่าว
จนไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ ต้องตั้งคำถามลอยๆ ว่า
“ถึงแม้จะดีใจที่คนเห็นว่า #ฝ่ายค้านอิสระ มีพื้นที่อยู่จริงได้ในสภา แต่ก็รู้สึกแคลงใจที่คุณมงคลกิตติ์เป็นคนชูธง
เรื่องนี้เพราะ
ไม่ว่ามงคลกิตติ์จะออกมาเคลื่อนไหวเพียงแค่ “สะบัดสะบิ้ง” ไม่ได้คิดจะออกจากการร่วมรัฐบาลจริง เพียงแค่เรียกร้องความสำคัญ หรือจะออกจากการร่วมรัฐบาลไปเป็นฝ่ายค้านอิสระจริงๆ ก็ตาม นี่เป็นเครื่องบ่งบอกว่า “รัฐนาวา” พล.อ.ประยุทธ์ หาใช่ “เรือเหล็ก” ไม่ ที่แท้เป็นแค่ “แพไม้ไผ่” ที่ตัดมาจาก “หลายกอ” แล้วเอามามัดรวมกันอย่างหลวมๆ ซึ่งพร้อมจะกลายเป็น “แพแตก” ทุกเมื่อ
อันที่จริง ถ้าเราไม่วิ่งหนีความจริงและ “หลอกตัวเอง” กัน เราจะพบว่า “รัฐนาวา” พล.อ.ประยุทธ์นั้น มิได้มั่นคงแข็งแรงอะไรเลย อันเกิดจากสาเหตุหลายประการ
1) ตัว พล.อ.ประยุทธ์ เอง
พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ท่านมีปัญหาในตัวเอง 3 ประการด้วยกันคือ ความรู้ความชำนาญ ที่มา และอารมณ์
ความที่ท่านเป็น “ทหาร” มาทั้งชีวิต และไม่ชมชอบต่อการ “ตีสนิท” กับผู้คนในหลากหลายวงการเหมือน “พี่ใหญ่” ชอบท่าน ท่านจึงมีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และรู้จักผู้คนใน “วงจำกัด” ไปด้วยในตัว นี่คืออุปสรรคของการเป็น “ผู้นำฝ่ายบริหาร” ที่ส่งผลให้ท่านต้อง “ยืมจมูกคนอื่นหายใจ” อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ภาพลักษณ์ที่คนเชื่อว่า ท่านคือ “คนที่ถูกเลือกแล้ว” มาจนถึงต้องอาศัยสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้บรรดา “ลูกติดทางการเมือง” ของสมคิด ต้องตามมายึดกุมกระทรวงสำคัญๆ จนนำไปสู่ “ความบาดหมาง” ในพรรคพลังประชารัฐเอง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็มิได้ “จัดหา” มารองเท้าท่าน ดันสู่เก้าอี้นายกฯ ด้วยตนเอง ท่านจึงอยู่ในสภาพ “ลอยๆ” เคว้งคว้างทั้งในทางความรอบรู้และความสัมพันธ์ ท่านไม่ได้รู้ทุกเรื่อง และยังไม่มี “คนของท่าน” จริงๆ ที่จะคอยให้ความรู้โดยไม่ต่อรองหรือหวังผลตอบแทนใดๆจึงอยู่ในสภาพผู้นำที่ต้องคอยสอบถาม “ผู้ประสานงาน” และ “คนช่วยงาน” ทั้งหลาย อยู่ตลอดเวลา ในเวลาที่ท่านต้องเป็นผู้นำ “รัฐนาวา” ลำนี้ เรียกง่ายๆ ว่ารู้ปลายทาง แต่ไม่ชำนาญหนทางและไม่ชำนาญการ “ควบคุมเรือ” ทางการเมือง ที่มิใช่“พลทหารและกองทัพ” แบบที่เป็นอยู่นี้เลย ท่านรู้แต่การควบคุมความมั่นคง ปกครอง และสั่ง แต่ท่านมิได้ชำนาญเรื่องการบริหาร โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ที่ต้องได้ “ตัวจริง” คือ เรื่องเศรษฐกิจมาแก้ปัญหา แถมความมั่นคงก็ถูกท้าทายด้วย “ระเบิด” ที่หวังทำลายความน่าเชื่อถือของท่านเสียอีก เรียกว่าตกอยู่ในสภาพ “แพโยก-เรือโคลง” กันเลยทีเดียวล่ะ
ต่อมาก็เป็นเรื่อง “ที่มา” ของท่าน ที่ถูกตำหนิ เหน็บแนม และวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตลอดเวลา ว่าตอนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เป็นคนวางกติกา วางอย่างบริสุทธิ์ใจ สง่างาม เพื่อนำความเป็นธรรมมาสู่การเดินหน้าประเทศในท่ามกลางความขัดแย้ง-แตกแยก หรือวางอย่าง “ฉวยโอกาส” ตัดหนทางคนอื่น เพิ่มหนทางตัวเอง กันแน่ ที่ประจานเรื่องนี้ชัดเจนที่สุด คือการกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยการเสียบ “คำถามพ่วง” เข้าไปในตอนทำประชามติรัฐธรรมนูญ และภายหลังมาเพิ่มเติมเงื่อนไข “ที่มาของ สว.” ให้มาจากการเลือกของ คสช. และผลสรุปว่า คนเลือกก็เลือกกันเองไขว้กันไปไขว้กันมา แล้วก็แทบจะยกคนของ คสช. หรือคนที่เคยทำงาน เคยชงกฎหมาย เคยชงคำถามพ่วง มาเป็น สว. ทั้งกระบิเรื่องนี้จะเป็นแผลติดตัวท่านไปจนตาย ไม่ว่าท่านจะอายหรือไม่อายก็ตาม จะมีคนคอยย้ำ “แผล” นี้ของท่านอยู่ตลอดเวลา
สุดท้ายคือเรื่อง “วุฒิภาวะทางอารมณ์” ของท่านเอง ทั้งต่อสื่อมวลชน ต่อประชาชน และต่อที่ประชุมสภา การแถลงนโยบายที่ผ่านมา ได้ชี้ให้เห็นแล้ว ว่าท่านต้องการทักษะการควบคุมอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมอีกมาก และแม่ยกกองเชียร์ก็อย่าอ้างว่าท่านถูกยั่วยุอย่างเลวทราม ใช่ครับ ฝ่ายยั่วก็เลวมิใช่น้อย แต่เขาหวังผลอะไร ไปตอบสนองในสิ่งที่เขาหวังทำไม ไม่โตพอที่จะรู้หรือครับ ว่าฝ่ายยั่วยุต้องการอะไร ไยไปตกหลุมพรางของเขา ที่ขุดบ่อล่อให้แสดงจุดอ่อนประจำตัวออกมาไม่โตพอที่จะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองในสถานการณ์ที่ก็รู้อยู่แล้วว่า “ต้องเจอแน่ๆ” เลยหรือครับ
นี่คือปัจจัยแรกที่ทำให้ “รัฐนาวา” ไม่มั่นคงแข็งแรง
2) พรรคพลังประชารัฐ
คงรู้กันเป็นการภายในอยู่แล้วแหละว่า พรรคพลังประชารัฐเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และรวมคนมายังไง จะสื่อสาร จะกล่าวอ้าง ให้มันสวยหรูแค่ไหนก็ได้ แต่คงรู้อยู่แก่ใจกันอยู่แล้วว่า“ความจริง” นั้น รวมผู้รวมคนกันมาอย่างไร ความแตกแยก ความกินแหนงแคลงใจ การหวังประโยชน์ และความคับแค้นของกลุ่มก๊กต่างๆ ที่มารวมกันเป็น “พลังประชารัฐ” นับเป็น “วัสดุชำรุด” ที่นำมา “ต่อเรือ” เราจึงได้เห็นภาพกลุ่มสามมิตรแสดงอิทธิฤทธิ์อยู่บ่อยครั้ง จนมีข่าวว่า “พี่ใหญ่” จะต้องลงไปนั่งเป็นสมาชิกพรรคเพื่อควบคุมจัดการ โดยไม่ต้องเสี่ยงว่าเป็น “คนนอก” เข้าไปบงการจนเป็นความผิดถึงขั้นยุบพรรคได้ความไม่เป็นเอกภาพ และการอยู่ในสภาพ “น้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอก” ของพรรคพลังประชารัฐ คือระเบิดเวลาลูกหนึ่ที่ติดอยู่ในรัฐนาวาลำนี้มาตั้งแต่แรก ซึ่งยังไม่มีหลักประกันว่า หากจัดสรรประโยชน์ไม่ลงตัวแล้วไซร้ จะระเบิดตูมตามขึ้นมาตอนไหน และแกนนำหลัก จะสู้กับการต่อรองเพื่อให้รัฐบาลอยู่รอดเป็นระยะๆ ได้มากแค่ไหน ด้วยทรัพยากรอะไร และด้วย “ความอดทน” ปานใด
3) พรรคร่วมรัฐบาล
พรรคใหญ่ๆ อย่างภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ดูเหมือนไม่มีปัญหา แต่ก็แว่วมาว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แอบหงุดหงิดกันอยู่บ้าง เมื่อระดับ “น้องชาย” คนโต กระซิบว่า อย่าประชาสัมพันธ์งานว่าเป็นผลงานของพรรคมากนัก ให้เน้นว่าเป็นนโยบายรัฐบาลก่อน ส่วนพรรคเล็กก็อย่างที่เห็น พร้อมจะ “สะบัดสะบิ้ง” เป็นเมียบ่าวที่น้อยใจเมียระดับ “คุณผู้หญิง” ได้ตลอดเวลา เพื่อหวังให้ “หัวหน้าครอบครัว” แวะมาเยือนที่ “เรือนเล็ก” บ้าง
4) ฝ่ายค้าน
โชคดีที่ว่า ฝ่ายค้านยุคนี้ “อ่อน” และ “เลอะเทอะ” เกินกว่าจะเป็นคลื่นลมโจมตีรัฐนาวาอย่างมีประสิทธิภาพได้ เพราะหนักไปทางมือใหม่ หรือหน้าเก่าแต่เป็นระดับ
“ปลายแถว” พร้อมๆ กับล้วนมี “ความหมกมุ่นในตัวเอง”กันแทบทั้งนั้น ไอ้พวกหนึ่งก็อยากดัง อยากเป็นดาวสภา จนเลอะเทอะบ้าบออยู่ตลอดเวลา อีกพวกหนึ่งก็หมกมุ่นกับลัทธิอุดมการณ์ส่วนตัว จนลืมทำหน้าที่ “แทนประชาชน” หรือเอาปัญหาของประชาชนขึ้นนำ โชคดีว่ารัฐบาลชุดนี้ช่างสร้างปัญหาด้วยตัวเองมาให้ “บดขยี้” ได้ ฝ่ายค้านจึงพอจะมีอะไรให้นำมา “ไล่บี้” ลำพังสติปัญญาที่ฝ่ายค้านมี ไม่น่าจะทำให้รัฐบาลลำบาก พูดง่ายๆ ว่ารัฐบาล “แพ้ภูมิตัวเอง” มากกว่าเจ็บป่วยเพราะถูกเชื้อโรคที่ชื่อฝ่ายค้านโจมตี
5) พวกตกรอบ ไม่ได้เข้าสภา
พวกนี้ป่วนมาก ตอดซ้ายตอดขวา เหมือนแมลงหวี่แมลงวัน หรือยุงรำคาญ ที่จะตบก็ตบไม่ได้ พวกนี้สร้างความรำคาญใจและ “กระตุ้นอารมณ์ท่านผู้นำ” ให้ “บูด” ได้บ่อย
6) สื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์
สื่อมวลชนก็แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ฝ่ายหนุนก็หนุนเกินฝ่ายค้านก็ค้านเกิน ทำให้ประชาชนขาดข้อมูลและหลักคิดที่ดี พวกที่รักรัฐบาลก็รักจน “หลง” พวกไม่รักก็ไปถึงขั้นจงเกลียดจงชัง อยากให้มันมีอันเป็นไป จนลืมว่าสุดท้าย ประชาชนและประเทศชาตินั่นแหละ ที่รับกรรม และแผ่นดินก็หาความสงบร่มเย็นไม่ได้ แถมซ้ำด้วย “การแสดงความคิด” ที่หยาบคาย ไร้ตรรกะ ในโลกออนไลน์อีก เลวทรามที่สุดคือ “ข่าวปลอม” พวกนี้เป็นคลื่นกระทบ “เรือ” ที่รุนแรงมิใช่น้อย
7) ประชาชน
ประชาชน “มีปัญหา” มากมายเหลือเกิน ชนิดที่นับวันจะ “พึ่งพาตัวเองไม่ได้” หนักขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาอยากอยู่ในสภาพอย่างนั้นนะครับ แต่มันไม่มีปัจจัยหนุนส่งให้เขาเติบโต แข็งแรง มีเหตุผล และยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองได้อย่างง่ายๆ เลยยิ่งมาเจอการปลุกปั่นเพื่อ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” จากทุกฟากฝ่ายด้วยแล้ว ประชาชนก็กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่สั่นคลอน “รัฐนาวา” นี้ ได้ตลอดเวลา
การเป็นรัฐบาลรอบนี้ ของ พลเอกประยุทธ์ จึงมิได้ง่ายดายเหมือนรอบที่ผ่านมา
ก็ต้องรอดูกันว่า ทุกๆ ปัญหา ทุกๆ ปัจจัย ท่านจะคลี่คลายให้มันเป็น “ปัจจัยบวก” ส่งรัฐนาวาลำนี้สู่ปลายทางโดยสวัสดิภาพได้อย่างไร ซึ่งหากบริหารจัดการไม่ได้ มันก็จะกลายเป็น “น้ำวน” หรือ “คลื่น” ที่ซัดรัฐนาวาในรูป “แพ” ให้แตกกระจุยกระจายในท้ายที่สุด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี