ในฐานะนักการเมืองแล้ว การมีโอกาสพบปะพูดคุยกับฝ่ายที่มีจุดยืนทางการเมืองต่างกัน หรืออยู่ตรงกันข้ามกันน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร ผมเห็นว่า ผู้ที่มีจุดยืนต่างจากของผมนั้น มิใช่ศัตรูที่ต้องรังเกียจเดียดฉันท์ หรือต้องทำการประหัตประหารกันให้สิ้นซาก นั่นเพราะเราต่างเป็นเพื่อนมนุษย์ และต่างเป็นพลเมืองไทยด้วยกัน เมื่ออยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแล้ว ก็ย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความเห็นต่างกันไปได้ เพียงแต่จะต้องไม่ไปกระทำการใดๆ ที่เป็นการบ่อนทำลายชาติบ้านเมือง ซึ่งเรื่องความมั่นคงของชาติบ้านเมืองนั้น เป็นคนละเรื่องกันกับความมั่นคงของรัฐบาลโดยสิ้นเชิง
ผมเองได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ นักการเมืองรวมทั้งนักเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นระยะๆ มาโดยตลอด ก็เพื่อที่จะได้รับทราบจุดยืน ประเด็นปัญหาของกันและกัน และหาลู่ทาง หรือช่องทางที่จะหาทางนำไปสู่การร่วมมือ หรือโอนอ่อนผ่อนปรนแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันได้
โดยปกติแล้ว จุดเหมือน หรือจุดร่วมของเกือบทุกคนก็คือ ความหวังดีต่อประเทศชาติ และความปรารถนาที่จะได้เห็นสังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยกันอย่างจริงจังและแท้จริง ดังประเทศที่เขาได้หลุดพ้นหล่มประชาธิปไตยไปได้แล้ว
และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคมนี้ ผมก็ได้ตอบรับคำเชิญของพรรคอนาคตใหม่ ให้ไปร่วมการเสวนา ว่าด้วยเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก่อนที่จะตอบรับ ผมเองได้พิจารณาแล้วว่า เป็นการเสวนามีผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้เป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่เข้าร่วมด้วยหลายท่าน รวมทั้งเป็นเวทีเปิดต่อสาธารณชน (ซึ่งเนื้อหาเป็นอย่างไร สื่อต่างๆ ก็ได้ลงข่าวอย่างกว้างขวางไปแล้ว) นอกจากนั้นแล้ว การไปในครั้งนี้ ก็ถือเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ทำความรู้จักมักจี่ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมืองกับบุคลากรของพรรคอนาคตใหม่ไปในตัว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วค่อนข้างยากที่จะได้พบปะพูดคุยกัน
ซึ่งเพื่อนฝูง มิตรสหาย และญาติพี่น้อง หลายๆ คน เมื่อทราบจากผมโดยตรง หรือจากข่าว สื่อสาธารณะแล้ว ก็มีปฏิกิริยาไปต่างๆ กัน บางคนก็ค่อนข้างประหลาดใจ เนื่องด้วยอาจจะไม่ทราบมาก่อนว่า ผมเองนั้นได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักการเมืองที่มีจุดยืนต่างกันเป็นเนืองนิจอยู่แล้ว ซึ่งก็กระทำมาอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ
มาถึงจุดนี้ หลายคนก็คงมีคำถามว่า ในโอกาสที่ผมได้พบปะกับคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และ ดร.ปิยบุตร
แสงกนกกุล เลขาธิการ นั้น ได้มีการพูดคุยอะไรกัน?
ก็ขอเรียนว่า เราได้สนทนากันอย่างเป็นกันเอง ในร้านขนมเบเกอรี่ (ช่วงอาหารกลางวัน) โดยมีบุคคลอื่นร่วมด้วยประมาณ 10 คน ซึ่งในช่วงอาหารค่ำ คุณธนาธรติดธุระอื่น จึงมีเพียงคุณปิยบุตร และผู้ร่วมงาน ตัวผม และผู้ร่วมงานของผม รวม 6-7 คน
คุณธนาธรได้สอบถามข้อความเห็นการปฏิรูปกองทัพไทย(Thai Armed Forces) ซึ่งผมก็ให้ข้อคิดไปว่า เรื่องปฏิรูปปรับเปลี่ยนกองทัพนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของทุกกองทัพ เพื่อให้สอดคล้องตามยุคตามสมัย หรือบริบทสภาพแวดล้อม แต่จะเริ่มพูดจากันอย่างไร
หากเลือกที่จะเริ่มกันด้วย การบังคับให้ลดกำลังพลลง ตัดทอนงบประมาณ ก็ไม่ต่างอะไรกับการท้าชน เป็นการมุ่งหักโค่น ซึ่งถือว่าเป็นการท้าทาย แบบไม่ไว้หน้ากัน ซึ่งผลลัพธ์ที่จะได้ ย่อมไม่พ้นการต่อต้าน และการสร้างศัตรูขึ้นมาโดยใช่เหตุ
ผมได้เท้าความว่า ผมได้เคยเขียนบทความ ได้เคยอภิปรายว่า บริบทโลก บริบทการสงครามเปลี่ยนแปลงไป
การรบในรูปแบบ และฉะนั้น การจัดทัพแบบในรูปแบบ (Conventional Warfare) คงไม่ทันกาลทันสมัย เพราะโอกาสที่ 2 ประเทศ ที่อยู่ใกล้กันหรือติดกันจะรบกันแบบยิงกันไป-มาดังอดีตนั้นยากลำบาก เพราะโลกไม่เอาด้วย แต่โลกมีเรื่องการเสริมสร้างสันติภาพ การรักษาสันติภาพ การป้องกัน และการช่วยเหลือ และฟื้นฟูภัยพิบัติ ทั้งโดยธรรมชาติและด้วยน้ำมือมนุษย์ และการร่วมกันแก้ปัญหาอาชญากรรม และความมั่นคงข้ามชาติมากยิ่งๆ ขึ้น อีกทั้งวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งบัดนี้ก็มีการวิจัย ค้นคว้า การผลิตทหารหุ่นยนต์ ทหารมนุษย์ประดิษฐ์ และการใช้พาหนะต่างๆ แบบไร้คนขับ ซึ่งเครื่องร่อนโดรน (Drones) จะใช้เป็นอาวุธอันสำคัญ
เหล่านี้เป็นเหตุที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนภารกิจใหม่ของฝ่ายกองทัพ ฉะนั้น ในกรณีกองทัพไทย การปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมกองทัพ ก็ต้องคำนึง และให้สอดคล้องกับบริบทโลก ดังกล่าว อาทิ
1. กองทัพไทยไปเข้าร่วมในกองกำลังสันติภาพขององค์การสหประชาชาติให้ได้มากยิ่งขึ้น
2. การร่วมสำรวจ ลาดตระเวน รักษาความปลอดภัย (เช่น ในแม่น้ำระหว่างประเทศ ทะเลหลวง เป็นต้น)
- การกู้ภัยพิบัติที่มนุษย์ก่อ (น้ำมันรั่ว) และที่โดยธรรมชาติ
- การจัดกองกำลังผสม (บก เรือ อากาศ) แทนที่จะแยกกันอยู่ แยกกันทำการ
- การลดกำลังคนและทดแทนด้วยทหารหุ่นยนต์ และทหารประดิษฐ์
- การพัฒนาบุคลากรทหารให้ใช้เครื่องบังคับต่างๆ ซึ่งหมายถึง การมีองค์ความรู้เรื่องเทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มโลก และบทบาทของฝ่ายกองทัพที่พึงตามมา ต้องเริ่มจากการหันหน้าพูดคุยกัน
ก็แน่นอนว่า การจะทำให้ฝ่ายกองทัพเปิดใจรับฟัง และปฏิรูปตนเองให้ทันโลก พรรคอนาคตใหม่ก็ต้องทำเสียงให้ไพเราะ พูดจาด้วยข้อมูล ด้วยเหตุด้วยผล ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่กองทัพใช้ เป็นของประชาชนพลเมือง ก็ต้องใช้ให้เหมาะสมคุณค่า และโปรดอย่ารำคาญใจได้ง่าย เมื่อมีเสียงนกเสียงกาทักท้วง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะร่วมวง เริ่มทำงานกันได้กับ
ทางฝ่ายทหาร
ส่วนกับคุณปิยบุตรนั้น ผมได้เน้นเกี่ยวกับเรื่องบ้านเมืองของเรามีกฎหมาย ซึ่งผู้ใช้อำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ต้องเคารพในกฎหมายนั้นๆ แต่ที่สำคัญต้องถูกกำกับด้วยหลักธรรม หลักความถูกต้องชอบธรรม ซึ่งถือเป็นภาระหน้าที่ของทุกคนอยู่แล้ว ที่จะต้องเคารพปฏิบัติตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในรัฐสภาไปว่า ที่ผ่านมานั้น ต่างฝ่ายต่างพยายามเอาชนะคะคานกัน ในเรื่องกฎกติกา ข้อบังคับ จนลืมไปว่า สิ่งที่ประชาชนอยากเห็น อยากรับฟัง นั้นคือเนื้อหาที่จะช่วยพัฒนาประเทศ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และชาวไทย ในฐานะที่แสดงตนเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ ก็ขอให้ได้คัดเลือกผู้อภิปรายที่มีความสามารถตรงกับหัวข้อนั้นๆ อย่างแท้จริง ขึ้นมาอภิปราย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้พูดเพียงเพื่อที่จะมีหน้าโผล่ในจอทีวี ให้ประชาชนเห็นเท่านั้น
เมื่อเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ก็ต้องไม่ไปร่วมใช้วิธีของพวกรุ่นเก่า
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเนื้อหาโดยรวมที่ได้สนทนากันกับบุคลากรของพรรคอนาคตใหม่ นอกเหนือจากการพูดคุยกันบนเวทีเสวนาว่าด้วยเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ซึ่งหลังจากนี้ หากสถาบัน องค์กร หรือพรรคใด สนใจจะเชิญผมไปร่วมเวทีเสวนา และแลกเปลี่ยนมุมมอง และความคิดเห็น ก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ ผมเองยินดีที่จะไปร่วมด้วย ไม่มีการเลือกปฏิบัติครับ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี