เห็นการวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง “หนี้ กยศ.” ของรังสิมันต์ โรม และการอธิบายของตัวเขาเองแล้ว ก็ให้คันไม้คันมือ ขอไต่สวนทวนความและชี้ประเด็นดังนี้
ก) หลายคนไม่อ่านเนื้อข่าว ไปเข้าใจว่ารังสิมันต์ โรม มีตังค์ แต่ไม่ยอมใช้หนี้ ในความเป็นจริง เขาทยอยชำระหนี้ตามระบบ ตามสิทธิ และตามสัญญา มาตลอด
ข) ดังการโพสต์ชี้แจงของเจ้าตัวที่ว่า...
“1. ป.ป.ช. กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินโดยแจ้งรายการที่เราต่างมีอยู่ก่อนหน้าวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 (วันที่ปฏิญาณตนรับหน้าที่ในสภา)
2. การชำระหนี้กยศ.นั้น จะชำระกันเป็นรายปี ซึ่งผมเองก็ทำตามระเบียบปกติในการกู้ยืมเพื่อการศึกษา เมื่อต้องชำระผมก็ได้ทำการชำระไปตามปกติ โดยป.ป.ช. ให้ผมแจ้งหนี้กยศ. ออกเป็นสองส่วน โดยในส่วนหนี้สิน ผมต้องนำยอดรวมทั้งหมด มาหักลบกับที่ชำระไปก่อนหน้าแล้ว ซึ่งการชำระหนี้กยศ. ปีนี้ผมเพิ่งจ่ายไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ดังนั้นยอดการชำระคืนของปีนี้จึงไม่ได้ถูกนับรวมไปในส่วนที่ถูกชำระไปแล้ว
3. ในส่วนของทรัพย์สินนั้น ยอดรวมที่เป็นประเด็นคือประมาณสองแสนกว่าบาท ผมขอชี้แจงเบื้องต้นเลยว่าผู้ที่นำประเด็นว่าผมมีทรัพย์สินสองแสนกว่าทำไมไม่ชำระหนี้ประมาณสองแสนเสียทีนั้นกำลังอาศัยการใช้กลเม็ดเล่นคำ เนื่องจากยอดทรัพย์สินรวมนี้นั้นมาจากเงินสดที่ผมมีอยู่จำนวนสองหมื่นบาท
อีกส่วนมาจากบัญชีเงินฝากทุกบัญชีที่ผมมีอยู่ รวมถึงผลตอบแทนที่จะได้จากเบี้ยประกันในอนาคต (ซึ่งยังไม่ได้ ณ ตอนนี้) และจากจุดนี้เองที่มีการอาศัยความเข้าใจผิด ว่าผมมีทรัพย์สินมากมาย มากกว่าหนี้กยศ. อาศัยความดราม่าเล่นใหญ่ว่าทำไมผมจึงไม่ยอมจ่ายชดใช้หนี้แผ่นดิน ทั้งที่ผมไม่เคยมีปัญหาในการใช้หนี้คืน กยศ.
4. ทั้งนี้ผมลงเล่นการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อายุแค่ 27 ปี กยศ. ให้เวลาในการชำระหนี้ 15 ปีผมก็ไม่เคยหลบหนี ก็มีบางคนกล่าวหาผมว่าเงินเดือนตั้งเยอะ ทำไมจึงไม่ใช้หนี้ให้หมด ผมก็ต้องตอบตรง ๆ ว่าผมเป็นมนุษย์ ก็ต้องบริหารจัดการวางแผนทุกอย่างให้ดี เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยังคงต้องเดินทางไปทำงาน รับประทานอาหาร จ่ายค่าที่พักอาศัย ค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมถึงการบริจาคให้กับพรรคอนาคตใหม่เนื่องจากพรรคของเราไม่มีนายทุน ผมมีรายได้และรายจ่ายเหมือนคนปกติทั่วไป แน่นอนว่าที่ผ่านมาหนี้กยศ. ก็ยังคงเป็นหนึ่งในรายจ่ายนั้นเสมอมา ซึ่งก็ไม่เคยบกพร่องเรื่องนี้
ทั้งหมดนี้ ผมต้องอธิบายคำโจมตีมักง่ายไม่กี่ประโยคด้วยการชี้แจงเป็นหน้ากระดาษ ในขณะที่การโจมตีนั้นอาศัยเพียงช่องว่างจากความไม่รู้ของผู้คน เอาแค่การบวกลบเลขง่าย ๆ แต่ไม่ประกอบบริบทมาใช้กล่าวหา
ขอเถอะครับ อย่าใช้การกล่าวหามักง่ายเช่นนี้กันอีกเลย ไม่เช่นนั้นคงไม่ต่างอะไรการสร้างข่าวปลอม (Fake News) เพื่อโจมตีให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหาย ซึ่งไม่สร้างสรรค์”
นี่คือคำชี้แจงของรังสิมันต์ โรม
คราวนี้ เรามาตั้งสติ แล้วลำดับความกัน
1) โรมติดหนี้ กยศ. จริง ใช้หนี้ไหม ใช้ครับ ไม่ใช่ลูกหนี้เลว
2) แต่คนจำนวนหนึ่ง ซึ่งคงไม่ชอบเขาอยู่เป็นพื้นอยู่แล้ว มองว่า อ้าว! เอ็งมีเงินเป็นแสนๆ นี่ก็มาเป็น สส. เงินเดือนก็เยอะทำไมไม่ไปใช้หนี้ให้หมดเสียทีล่ะ คือ ไปมองว่า จะมัวผ่อนอยู่ทำไม (หรือบางส่วนไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเขาผ่อนจ่ายเสมอ ไม่เคยผิดนัด) ใช้ๆ ไปซะ เขาจะได้เอาไปให้คนอื่นกู้ต่อ
3) ถ้าทำอย่างข้อ 2) คือ ใช้หนี้ทีเดียวหมดเลย ดีไหม ดีครับ เจ้าตัวก็พ้นจากความเป็นลูกหนี้ ทาง กยศ. ก็จะได้มีเงินกลับเข้ากองทุน เอาไปบริหารจัดการต่อตามความเหมาะสม
4) ถ้าเขาไม่ทำตามข้อ 2) นี่ เขาเลวไหมครับ ในความคิดผม เขาก็ทำตามระบบที่ กยศ. กำหนดแล้วนี่ครับ การที่ กยศ. ออกระเบียบการชำระหนี้แบบนั้นได้ คือ ทยอยผ่อนคืนได้ แปลว่าการกระทำเช่นนี้ ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือความเสียหายแก่ กยศ. และรังสิมันต์ โรม ก็ทำตามระเบียบที่ กยศ. ออกเองทุกอย่าง เช่นนี้แล้ว เขาจะเลวได้อย่างไร?
5) วันที่ 23 ส.ค. 2562 - นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ผจก.กยศ.) เปิดเผยกับ “คมชัดลึก ออนไลน์” ถึงกรณีสส.คนดังติดหนี้กยศ. ว่า เรื่องแบบนี้ กยศ.ไม่สามารถเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ได้ นอกจากผู้กู้จะเป็นคนเปิดเผยด้วยตัวเอง เพราะเป็นเรื่องของบุคคลไม่ก้าวล่วง แต่ตามเกณฑ์ลูกหนี้ ไม่มีการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษใดๆ ทั้งสิ้น เพราะปกติ กยศ. มีมาตรการดูแลลูกหนี้ทุกรายอยู่แล้ว
“ลูกหนี้ กยศ.ไม่มีอภิสิทธิ์ ทุกคนเท่าเทียมกัน ปลอดดอกเบี้ย 2 ปี เริ่มชดใช้หนี้เมื่อมีงานทำและสามารถผ่อนชำระได้ภายใน 15 ปี สมมุติกู้ 1 แสนบาท ชดใช้หนี้ปีแรกจ่ายประมาณ 1,500 บาท หากผิดนัดชำระก็เป็นไปตามกติกา เรียกปรับเงินต้นในงวดที่ผิดนัดชำระ”
นายชัยณรงค์ ได้เปิดเผยถึงภาพรวมของการดำเนินงานให้กู้ยืมในปีงบประมาณ 2562 ว่า “ในปีการศึกษา 2562 จากเป้าหมายการให้กู้ยืมจำนวน 619,501 รายนั้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างการให้กู้ยืมโดยระดับอุดมศึกษาได้เปิดภาคการศึกษาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งผลการให้กู้ยืมถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 มีจำนวนผู้กู้ยืม 476,830 ราย คิดเป็นวงเงินให้กู้ยืม 22,755 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปี 2562 เป็นปีแรกที่กองทุนไม่ได้จำกัดโควตาการกู้ยืมสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ กองทุนขอยืนยันว่า หากผู้กู้ยืมเป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ กองทุนมีเงินเพียงพอในการให้กู้ยืมทุกคน เพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งกองทุนได้นำเงินที่ได้รับชำระคืนจากผู้กู้ยืมรุ่นพี่ในการปล่อยกู้ยืมให้แก่ผู้กู้ยืมรุ่นน้อง โดยไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา
ในปัจจุบัน มีนักเรียน นักศึกษาผู้ได้รับโอกาสทางการศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 5,606,115 ล้านราย ประกอบด้วย ผู้กู้ที่อยู่ระหว่างการศึกษาและปลอดหนี้ 978,753 ราย ผู้กู้ที่ชำระเสร็จสิ้นแล้ว 1,052,992 ราย ผู้กู้ที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ 3,519,642 ราย และเสียชีวิต/ทุพพลภาพ 56,728 ราย เป็นเงินงบประมาณให้กู้ยืมจำนวนกว่า 603,829 ล้านบาท
6) ประการถัดมา เราไม่รู้ในรายละเอียดเลยว่า ชีวิตจริงๆ ของรังสิมันต์ โรม เป็นอย่างไร เขาต้องบริหารจัดการมันอย่างไรบ้าง เขาต้องเลี้ยงดู-ดูแลใครไหม เขากำลังลงทุนทำอะไรอยู่หรือไม่ เขามีความจำเป็นอื่นใดอีกไหม จึงไม่จ่ายหนี้รวดเดียว แทนการ “ผ่อนจ่ายตามระบบ” จึงไม่ง่ายที่เราจะไปด่วนตัดสินว่าทำไมทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ผิดเลย เลวเลย อันนี้ควรยั้งตัวเองกันบ้าง
7) หลายคนก็มีเงิน แต่ก็ไม่เอาไปปิดหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต ฯลฯ ทันทีทั้งหมดเหมือนกันนี่ครับ เพราะอยากเอาเงินนั้นไปลงทุนก่อน หรือเก็บไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน ฯลฯ เพียงแต่หนี้พวกนั้นมันต่างกันตรงที่ ไม่ต้องรอการชำระหนี้ แล้วเอาเงินไปหมุนเวียนให้คนอื่นได้กู้ เพื่อเป็น “ทุนการศึกษา” ต่อ อย่างของ กยศ.
8) ประเด็นมันจึงอยู่ที่ว่า ใครให้น้ำหนักกับอะไร
• โรมให้น้ำหนักว่า เขาชำระหนี้ทุกปี ตามระบบของ กยศ. ไม่เคยบิดพลิ้ว แล้วฉันผิดอะไรล่ะ
• คนอีกจำนวนหนึ่งให้น้ำหนักว่า เมื่อมีเงินพอจะจ่ายหนี้แล้ว ก็จ่ายให้หมดไปเถอะ เขาจะได้เอาไปให้รุ่นน้องกู้ต่อ ที่จริงก็คิดถูกทั้งคู่ ทำได้ทั้งสองวิธี
• แต่ต้องรู้ว่า การกู้ยืมเงิน กยศ. ไม่ใช่จะทำเรื่องขอกันได้ตลอดทั้งปี มันมีวงรอบการขอและการอนุมัติของมันอยู่ ภายใต้การบริหารจัดการของ กยศ. เอง
• ดังนั้น ใช่ว่าโรมคืนเงินครบวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ มีเด็กอีกห้าคนสิบคนมากู้ยืม กยศ. ได้ทันทีเลยก็เปล่า มันก็ต้องรอวงรอบใหม่อยู่ดี
9) ส่วนประเด็นว่า ตัวเองก็ยังมีหนี้อยู่ จะเอาเงินไปบริจาคให้พรรคทำไม อันนี้ก็คงเป็น “ความรักในพรรค” ของเขากระมัง เราคงไปก้าวก่ายความรักของเขาไม่ได้ แต่เป็นคำถามที่ดีไหม เป็นคำถามที่ “น่าสนใจ” และ “น่าคิด” ว่าการ “จัดลำดับ” ว่าอะไรควรทำก่อน ทำหลัง ของโรม น่าจะผิดพลาดหรือมีปัญหา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ “จุดยืน” ของแต่ละคนด้วย ถ้าเป็นคนที่ชอบและเชียร์พรรคอนาคตใหม่ ก็คงชื่นชม ยินดี สรรเสริญ ในสิ่งที่เขาทำ แต่ถ้าไม่ใช่ ยังไงก็ชื่นชมยาก แถมมองว่า ควรจ่ายหนี้ กยศ. ก่อนจะดีกว่า พรรคของเธอไม่ได้อัตคัดขัดสนอะไรขนาดที่เธอต้องเล่นบท “เตี้ยอุ้มค่อม” แต่กองทุน กยศ.สิ ลำบากจริง ทำไมไม่ช่วยด้วยการใช้คืนทั้งหมด ทั้งๆ ที่ก็มีกำลังจะทำได้
10) อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด รังสิมันต์ โรม ก็ให้สัมภาษณ์ว่า “หลังจากมีประเด็นนี้ขึ้นมา ผมจะชำระหนี้ที่เหลือให้หมดโดยเร็ว แบบไม่ต้องรอให้ครบกำหนด 15 ปี และอยากจะให้คนที่เป็นหนี้กยศ.อยู่รีบใช้หนี้ตามกำหนดด้วย” หักมุมจบอย่างหล่อๆ จนได้ (ฮา...)
โดยสรุป :: เรื่องนี้ ไม่มีใครผิดหรือถูก 100% แต่เป็นการให้น้ำหนักคนละจุด เลือกกันคนละวิธี สิ่งเดียวที่ต้องระวังคือ “อคติ” เพียงเพราะเขาคือ รังสิมันต์ โรม สิ่งที่เขาทำเลย “ผิด” เลย “แย่” เลย “เลว” ทันที
รังสิมันต์ โรม เอง ก็ควรตอบโต้ง่ายๆ ว่า ผมเป็นหนี้จริงๆ ครับแต่ผมเป็นลูกหนี้ที่ชำระคืนตามระบบทุกปี ไม่เคยผิดนัดชำระ เงินที่พอจะมีเหลือหรือมากกว่าหนี้ที่มีนั้น ผมมีความจำเป็นอีกหลายอย่างที่จะต้องใช้และบริหารจัดการมัน เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป ที่อยู่ระหว่างสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต ผมก็เพิ่งอายุ 27 เองนะครับ จบการศึกษามาก็ไม่นาน ดังนั้น โปรดเข้าใจว่าผมไม่มีเจตนาหรือการกระทำที่ชี้ว่า “เบี้ยวหนี้” หรือ “ไม่ชำระหนี้” แต่อย่างใดเลย คุณจะชอบผมหรือไม่ชอบผมก็ได้ แต่โปรดให้ความเป็นธรรมกับผมในเรื่องนี้ด้วย
พอไปอธิบายยาวยืด ซับซ้อน และมีท่าทีตอบโต้
แทนที่จะเป็นบวกหรือเท่าทุน ก็พานพาติดลบขาดทุนต่อไปอีก
เหตุการณ์นี้ ยังบอกให้เรารู้ว่า คนไม่ชอบกัน ทำอะไรก็ไม่ถูก 555 และคนบางจำพวก ไม่ต้องอ่านต้องรู้อะไรให้ดีก่อน ก็ติติง ต่อว่า ด่าทอ คนอื่นได้ ง่ายดายเหลือเกิน
อนึ่ง กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของ นายชวน หลีกภัย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2538 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2539 ให้เริ่มดำเนินการกองทุนในลักษณะเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งส่งผลต่อชีวิตของผู้ขาดโอกาสทางการศึกษาเพราะมีปัญหาความยากจน ให้มีโอกาสได้สร้างอนาคตจากการได้รับการศึกษา เพราะสามารถกู้ยืมเงินเรียน จนจบการศึกษาได้เป็นจำนวนมหาศาล
ในเวลาต่อมา พบว่ามีผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนไม่น้อย หลบเลี่ยงการชำระคืน ทั้งๆ ที่มีงานทำแล้ว จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม กระทั่งมีการปรับระบบการทวงหนี้ การขอความร่วมมือในการหักเงินเดือน และมาตรการติดตามอื่นๆ ตามมามากมาย บวกกับกระแสสังคมก็ไม่ตอบรับกับการ“ไม่ชำระหนี้” ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ “สังคมถือสามาก”
และนั่นทำให้สังคมเกิดปฏิกิริยากับกรณีของรังสิมันต์ โรม เพียงแต่ในบางคน ไปเข้าใจผิดว่าเขา “เบี้ยวหนี้” เท่านั้นเอง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี