ความขัดแย้งทางการเมือง นำพาผู้คนเข้าสู่ความเกลียดชังต่อกัน หวาดระแวงต่อกัน หยามเหยียดต่อกัน และขาดไร้ซึ่งความสมัครสมานสามัคคี
นำมาสู่ความเดียดฉันท์ ที่จะร่วมคิด ร่วมทำ หรือกระทั่ง “เข้าใจ” ในเรื่องเดียวกันให้ตรงกันได้
เราเลือกที่จะสวมเสื้อต่างสีกันเป็นสัญลักษณ์ และ “ทาสี” ให้แก่คนนั้นคนนี้ ผลักไสเมื่อคิดต่างกัน รวมหัวและให้ท้ายเมื่อคิดเหมือนกัน จนบางครั้งลืมความมีหลักการและเหตุผล อุปาทานเอาว่า “หลักกู” นี่แหละ คือ หลักการ
ลามปามมาสู่การผลักไส แม้กระทั่ง “ศาล” ออกจากพวกของตน ไปเป็นคนของอีกพวก และพร้อมที่จะ “ดูหมิ่น” ไม่เคารพ และ “ก้าวล่วง” การทำหน้าที่ของศาล ในนามของเขาว่า “เสรีภาพ” แห่งการวิจารณ์
“ศาล” จึงเป็นอีกหนึ่ง “สถาบัน” ที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งพยายาม “เขย่า” และ “คุกคาม” ด้วยถ้อยคำทั้งดีและร้ายสารพัด เพื่อทำให้ศาลมีมลทิน ขาดความชอบธรรมที่จะเป็น “องค์กรกลาง” ในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับขั้วข้างทางการเมือง
ปรากฏการณ์นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่น่าเป็นห่วงในสังคมไทย
ดังเช่นเรื่องที่ศาลเชิญ รศ.ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ หรือ “พ่อของจอห์น วิญญู” ไปพบ
“ด้วยศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562 ทวิตเตอร์ kovitw@kovitw1 ซึ่งปรากฏรูปถ่ายของท่านเป็นรูปโปรไฟล์ของทวิตเตอร์ดังกล่าว ได้โพสต์ข้อความวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมว่า “ศาลรัฐธรรมนูญรับคําร้อง 32 สส.ปมหุ้นสื่อแต่ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่น่าจะเกินคําว่า “ด้าน” เสียแล้ว”
“เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ศาลรัฐธรรมนูญจึงขอเรียนเชิญท่านมาพบเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 30 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2562 เวลา 10.00 น. ณ ที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ถนนแจ้งวัฒนะแขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ”
หากตามข่าวย้อนหลัง จะพบว่าในวันที่ 26 มิถุนายนนั้น พ่อของจอห์น วิญญู โพสต์ข้อความที่ถูกนำมาเสนอเป็นข่าวและถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเข้าข่ายหมิ่นศาลหรือไม่จริงๆ ด้วยข้อความว่า
“ศาลรัฐธรรมนูญรับคําร้อง 32 สส.ปมหุ้นสื่อแต่ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่น่าจะเกินคําว่า “ด้าน” เสียแล้ว” จริงๆ
ใช่ครับ มองจากฟากฝั่งเดียวกัน คง “เน้น” ไปที่คำว่า “แต่ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่” และมาหยุด “สาแก่ใจ” ที่คำว่า “น่าจะเกินคำว่า “ด้าน” เสียแล้ว”
คำถามคือ นี่คือ “การติชมโดยบริสุทธิ์ใจ?” ไม่หมิ่น ไม่ละเมิด ไม่ก้าวล่วง?
แกนของอารมณ์ของนายโกวิท คงอยู่ที่กรณีของ นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกยื่นศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง “ถือหุ้นสื่อ” เหมือนกัน แต่ธนาธรนั้นถูกสั่งให้ “หยุดปฏิบัติหน้าที่ในสภา” ทว่าชุด สส.ฝ่ายรัฐบาลที่ยื่นศาลรอบนี้ กลับไม่ต้องหยุด
ผมไม่คิดว่า คนที่อยู่ในภาคีราชบัณฑิต เรียนจบปริญญาเอกเป็น ดร. ทำผลงานทางวิชาการจนเป็น รศ. จะโง่เขลาเบาปัญญาไม่หาข้อมูล ไม่ใช้เหตุผล เขาคงจะมี “เหตุผลของเขา” ศาลท่านจึง “เชิญ” ให้ไปแสดงเหตุผลดังกล่าวนั้นกระมัง?
มาไต่สวนทวนความเรื่องนี้กันครับ
1) ทำไมไม่สั่งให้ สส. 32 ราย ที่ถูกร้องว่าถือหุ้นสื่อ หยุดปฏิบัติหน้าที่
ในเรื่องนี้ เอกสารข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงว่า
“...สำหรับคำร้องของผู้ร้องในส่วนของผู้ถูกร้องที่เหลือ จำนวน 32 คน เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 (5) แล้ว ศาลจึงสั่งรับคำร้องของผู้ถูกร้อง 32 คน ไว้พิจารณาวินิจฉัย
...สำหรับคำขอให้ผู้ถูกร้องทั้ง 32 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง บัญญัติเงื่อนไขไว้ว่าจะต้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง แต่ในคดีนี้ผู้ร้องไม่ได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง คงมีเอกสารประกอบคำร้องเพียงหนังสือรับรองห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทระบุรายละเอียดวัตถุที่ประสงค์กับสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นเท่านั้น
...จึงยังไม่มีความชัดเจนว่า ผู้ถูกร้องประกอบธุรกิจใด ซึ่งศาลจะต้องดำเนินการไต่สวนเพื่อหาข้อเท็จจริงให้ยุติต่อไป เมื่อยังไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้อง จำนวน 32 คน มีกรณีตามที่ถูกร้อง ในชั้นนี้ จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขที่จะสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้ง 32 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่”
2) แล้วทำไมกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ศาลจึงสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
เอกสารของศาลที่แจงเรื่องนี้ไว้ว่า “...อนึ่ง คดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถูกร้อง สิ้นสุดลง (เรื่องพิจารณาที่ 10/2562) ได้ผ่านการสอบสวนของกกต.ซึ่งมีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงมาก่อนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีเอกสารประกอบคำร้อง เช่น แบบสสช.1 ระบุสินค้าหรือบริการที่ประกอบการว่า ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ โรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือ พิมพ์หนังสือจำหน่าย ประกอบกับแบบส่งงบการเงินที่บริษัทของนายธนาธร ยื่นต่อกรมธุรกิจการค้า 2554-2558 ระบุไว้ชัดเจนว่ามีรายได้จากการขายนิตยสาร และรายได้จากการให้บริการโฆษณา จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่านายธนาธรมีกรณีตามที่ถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรค 2”
3) และเมื่อย้อนไปดูเอกสารข่าวศาลรัฐธรรมนูญเมื่อครั้งมีคำสั่งต่อธนาธรในเรื่องการหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น ศาลระบุว่า
“...ศาลพิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้ว เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง และปรากฏข้อมูลจากเอกสารประกอบคำร้องว่า ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นทุกครั้งจะส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ระบุวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น พร้อมหนังสือนำส่งนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครในเวลาใกล้ชิดกัน ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในคดีนี้ ตามเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฏว่ามีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น จึงปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง
ประกอบกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้องอาจก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายและการคัดค้านโต้แย้งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานสำคัญของที่ประชุม สส.ได้ จึงมีมติเสียงข้างมาก8 ต่อ 1 ให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิก สส. จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย”
4) เมื่อไล่เลียงมาแล้ว จึงเห็นได้ว่า กรณีมีความต่างกันอย่างเด่นชัด และไม่ยากเกินกว่าสมองของคนระดับ รศ.ดร. จะเข้าใจ เว้นเสียแต่มีอคติ หรือไม่สืบเสาะข้อมูล คะนองโพสต์ข้อความที่สร้างปัญหาว่า “หมิ่น” ศาลหรือไม่ เพราะคำว่า “น่าจะเกินคำว่า “ด้าน” เสียแล้ว” นั้น อยู่ภายใต้ประโยคที่มีคำว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นประธาน และมิใช่การติชมหรือวิเคราะห์วิจารณ์ด้วยหลักการและเหตุผล หากแต่เป็นการ “บริภาษ”
5) ตามติดมาด้วย 28 ส.ค.62- ต้อม- ยุทธเลิศ สิปปภาคผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัว ยุทธเลิศ@yuhtlerd ว่า “สงสัยว่า ศาลรัฐธรรมนูญ เสือกอะไรกับประชาชนก็ได้เหรอ?” จนนำไปสู่การแจ้งความเอาผิด และมีการปิดทวิตและลบข้อความหนีไปแล้ว
6) ต่อมาวันที่ 30ส.ค.62-นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ผู้ดำเนินรายการข่าวทางวอยซ์ทีวี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Sirote Klampaiboon (ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์) ระบุว่า “เครือข่ายรัฐบาลแจ้งความจับประชาชนจนไร้ยางอาย “เอ๋ ปารีณา” แจ้งความฟ้องผู้กำกับดัง “ยุทธเลิศ” ข้อหาหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ, “ไพบูลย์” ฟ้อง “เจษฏ์” เพียงเพราะวิเคราะห์ว่าการยุบพรรคน้อมนำฯ เหมือนเผาบ้านเอาประกัน ส่วน “ผู้กองปูเค็ม” แจ้งความ “ปลื้ม” ว่าทวิตข้อความหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญเจ็ดปีที่แล้ว ส่วนพ่อของ “จอห์น วิญญู” ก็โดนเลขาศาลรัฐธรรมนูญเรียกตัว ถ้ารัฐบาลยังมีสติ หวังว่าพฤติกรรมนี้จะจบก่อนจะถึงจุดที่เครือข่ายรัฐบาลเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งของประชาชน”
ไม่น่าเชื่อว่าศิโรตม์ ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์ที่แหลมคม จะมืดบอดในเรื่องนี้ จนผูกโยงเอาเรื่องเหล่านี้ให้เป็นเรื่องเดียวกัน และลากพามาให้เป็นเรื่องของ “เครือข่ายรัฐบาล” กระทำแบบ “ไร้ยางอาย” การแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยว่ากระทำความผิดนี่ ต้องมี “ยางอาย” อะไรหรือครับ และเป็นการกระทำ “เฉพาะตัว” ที่ไม่เห็นต้องพยายามสร้างเรื่องให้เป็น “เครือข่ายรัฐบาล” เลยนี่ครับ
7) ขณะเดียวกันที่บริเวณหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ รศ.ดร.โกวิท ไปให้ข้อมูลกับศาล นางอมรรัตน์ โชคปมิตต์กุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ เดินทางมาให้กำลังใจนายโกวิท พร้อมดอกกุหลาบสีแดง รวมทั้งมีกลุ่มอาจารย์ นักศึกษามหาวิทยาลัเกษตรศาสตร์ นำโดยน.ส.ชลิตา บัณฑุวงศ์ และอดีตลูกศิษย์ของนายโกวิท เดินทางมาให้กำลังใจโดยมีการนำดอกไม้ธูปเทียน ผ้า 7 สี มาลัย 7 ศอก ตุ๊กตาม้าลาย ตุ๊กตาไก่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยระบุว่า นำมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอให้นายโกวิท รอดจากการถูกดำเนินคดีฐานละเมิดอำนาจศาล, คำถามของผมคือ ดอกไม้ธูปเทียน ผ้า 7 สีมาลัย 7 ศอก ตุ๊กตาม้าลาย ตุ๊กตาไก่ เป็นสัญลักษณ์ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือเป็นสัญลักษณ์ของการ “หมิ่นศาล” กันแน่
8) ทั้งนี้ น.ส.ชลิตากล่าวว่า เรามาในนามชาวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมาให้กำลังใจกับอาจารย์โกวิท ที่ทราบว่าได้รับการเชิญตัวมาให้ข้อมูลกับทางศาลรัฐธรรมนูญ จากกรณีที่โพสต์วิพากษ์วิจารณ์ศาล เราเคยได้เรียนและได้รับความรู้จากอาจารย์ จึงเชื่อว่าบทบาทของอาจารย์โกวิท ในการวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ต่างๆ หรือความไม่ถูกต้องในสังคม เป็นเรื่องจำเป็นกับสังคมไทย และส่วนหนึ่งเรามีจุดยืนที่มองว่าศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงน่าจะมีความเเตกต่างกับศาลทั่วไป ควรจะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ติดตามหรือข้อคิดเห็นกับการทำงานหรือการตัดสินใจของศาลได้ด้วย ซึ่งก็จะเป็นกระบวนการหนึ่งของการเสริมสร้างประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพให้มันเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงในประเทศไทย จึงอยากจะขอวิงวอนไม่ให้มีการดำเนินคดีกับอาจารย์โกวิท, ใครก็ได้ช่วยบอกชลิตาให้มีสติปัญญาแยกแยะ “การวิพากษ์” กับ “การบริภาษ” ให้ออกด้วยเถอะ ก่อนที่เธอจะมืดบอดไปกว่านี้ เนื่องจาก “ความลำเอียงเพราะรักหรือชัง” และยังไม่มี “การดำเนินคดี” กับ นายโกวิท เป็นเพียงการเรียกไปให้ข้อมูลเท่านั้น และหากมีการดำเนินคดี นายโกวิทก็มีสิทธิ์ต่อสู้คดี และคนเหล่านี้ ก็อาจได้เลือกไปเป็นพยานในศาลได้
9) นายกรกช เเสงเย็นพันธ์ หนึ่งในลูกศิษย์กล่าวว่าเคยเป็นศิษย์ของอาจารย์โกวิท และเคยโดนดำเนินคดีเกี่ยวกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งการที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกตัวอาจารย์โกวิท ถือว่าเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก จึงขอให้กำลังใจ และขอให้อาจารย์ปลอดภัยไม่ถูกดำเนินคดี เพราะในความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คิดว่าเราต้องพึ่งพาไสยศาสตร์มากกว่ากระบวนการยุติธรรม, ก็เพิ่งรู้ว่า การทำจดหมายเชิญให้ไปชี้แจง เป็นการ “คุกคามเสรีภาพ” แต่การด่าศาลว่า “ด้านเกินไปแล้ว” นั้น คือ เสรีภาพ
10) นายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นิภาพันธ์ (ซึ่งเคยมีกรณีข่มขืนเพื่อน จน รังสิมันต์ โรม และพวก ออกมาเปิดเผยพฤติกรรมหื่นคราวนั้น) กล่าวว่า เราอยากจะทราบว่าศาลจะรักษาความศักดิ์สิทธิ์หรือความยุติธรรม หากศาลจะรักษาเพียงความศักดิ์สิทธิ์ก็ให้ลงมารับของเซ่นไหว้ แต่ถ้ารักษาความยุติธรรมก็ต้องพร้อมรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนเพื่อปรับปรุงการทำงาน และต้องพิสูจน์ความยุติธรรมเอง ศาลต้องเชื่อมั่นว่าจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของใคร เเละพร้อมที่จะถูกตรวจสอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลที่ไม่ได้มีที่มาจากประชาชน หรือไม่ได้มีที่มาจากการเลือกของประชาชนก็ต้องยิ่งได้รับการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น ก็เลยมาบนบานศาลกล่าวให้อาจารย์โกวิท ปลอดภัย
การกระทำนี้ กระทำในพื้นที่ศาลใช่หรือไม่ มิใช่เป็นการติติงหรือวิจารณ์ หากแต่เป็นการพูดจา “ดูหมิ่น” เสียดสี ใช่หรือเปล่า คงเป็นอีกหลายๆ กรณีที่ศาลต้องมีดุลพินิจ และอย่าถอยให้กับกระบวนการพวกนี้เด็ดขาด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี