ไม่รู้ว่า “ซินแส” ท่านดูดวงและแก้ฮวงจุ้ยให้ยังไงนะ ชีวิตการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ครั้งที่ 2 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงหา “ความสงบ” ไม่ได้เอาเสียเลย
ขณะที่ชีวิตการเป็นนายกฯ ของลุงตู่ “มีแต่เรื่อง” แต่ชีวิตของซินแสสบายแล้ว ได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ ท่ามกลางเสียงโจษจันว่า เราต้องเจียดเงินภาษีของราษฎร ไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนรายเดือนให้แก่ “ซินแสของรัฐบาล” ด้วยหรือนี่ ในเมื่อมันเป็น “ความเชื่อ” ของเธอทำไมเธอไม่เอาเงินพวกเธอจ่ายกันเองล่ะ พวกฉันไม่ได้เชื่อด้วย ก็ต้องเป็นคนจ่ายอย่างนั้นรึ?
ปัญหาเรื่อง “การเลือกคน” ของ พล.อ.ประยุทธ์ นี่ รุมเร้าตัวท่านไม่จบไม่สิ้นจริงๆ นะ เริ่มตั้งแต่ถามว่า ทำไมขาดป้อมกับป๊อกไม่ได้ ทำไมเลือกคนที่มีปูมหลังอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มาเป็นรัฐมนตรี ทำไมยังให้คนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตการก่อสร้างสนามฟุตซอล อย่างวิรัช รัตนเศรษฐ มาเป็นประธานวิปรัฐบาลอยู่อีกล่ะ อะไรคือ “ธรรมาภิบาล”ที่ท่านเคยตั้งคำถาม สมัยเป็นนายกฯ โดย คสช. ยึดอำนาจ ทำไมเมื่อแรมโบ้อีสาน สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ย้ายฝั่ง จากเสื้อแดงมาสวมเสื้อลายพราง ชีวิตของเขาดีจัง เหล่านี้เป็นต้น
นี่ยังไม่รวมเรื่องที่โฆษกตาหวานประจำสำนักนายกฯ อวด “ข้าวกล่อง” ว่าดูสิ นายกฯ ของฉันท่านกินง่ายอยู่ง่าย ห่วงงานจนไม่ได้กินอาหารดีๆ ต้องมากินแบบนี้ ปรากฏว่าคนไม่ได้สนใจ “กะเพราไก่ไข่ดาว” เย็นๆ ชืดๆ นั้นเลย ว่า-โอ๊ย นายกฯ ของฉัน เสียสละ ทุ่มเท และใช้ชีวิตธรรมดาๆ จริงๆ กลับเกิดคำถามว่าอ้าว! ทำไมใช่กล่องพลาสติกแบบ “ครั้งเดียวทิ้ง” อย่างนั้นล่ะ นายกฯไม่รักโลกเหรอ มาเรียมตายฟรีใช่ไหมนี่ ไม่เป็นแบบอย่างเรื่องการลดใช้สิ่งที่จะกลายเป็น “ขยะพลาสติก” บ้างเลยเหรอ ฯลฯ
อีกเรื่องหนึ่งที่ “รุมเร้า” ไม่เลิกรา คือปัญหา “พรรคเล็กพรรคน้อย”
แนวหน้าออนไลน์ รายงานว่า นายพิเชษฐ สถิรชวาล สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย เปิดเผยว่า ประชาธรรมไทยขอประกาศแยกตัวจากการร่วมรัฐบาล เพราะตนรู้สึกเบื่อแล้ว เมื่อรวมเป็นสัดส่วนพรรคเล็ก 10 พรรค ไม่เกิดประโยชน์ ไม่เป็นอิสระ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มอีกต่อไป จึงขอประสานกับเจ้าหน้าที่ แยกห้องทำงานออกเป็นพรรคเดียว เดิมทีตั้งใจจะรวมกลุ่มกันเพื่อขอประธาน กมธ. ให้นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สส.พรรคไทยศรีวิไลย์ แต่ก็ไม่ได้ ซึ่งนายมงคลกิตติ์ก็รู้มาก่อนแล้ว ว่าจะมีการอ้างรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้ตำแหน่งประธานกมธ.แก่พรรคเล็ก ส่วนตนจากนี้ก็คงจะไปหารือกับทางฝ่ายค้านเกี่ยวกับกมธ.อุตสาหกรรมที่ตนมีประสบการณ์ต่อไป
“ผมผิดหวังเหมือนกับการจัดตั้งรัฐบาลที่ 10 พรรครวมกัน ควรได้รัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการ พอมาถึงการแต่งตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีตัวแทนจาก 10 พรรคเล็กก็ได้ไม่ครบอีก มาเที่ยวนี้ประธานกมธ.ก็เหมือนเดิม ผมผิดหวังก็ขอแยก” หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทยกล่าว
ทั้งนี้ นายพิเชษฐ เคยเป็นอดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคความหวังใหม่ และอดีตรมว.อุตสาหกรรม สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ถือว่ามีประสบการณ์และเพื่อนพ้องจำนวนมากในแวดวงการเมือง ดังนั้น การประกาศแยกตัวจากความผิดหวังหลังการจัดสรรประธานกมธ.ทำให้เสียงปริ่มน้ำของรัฐบาลจาก 250 เสียง เหลือ 249 เสียง ไม่นับพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 เสียง ที่เคยประกาศเป็นฝ่ายค้านอิสระก่อนหน้านี้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ นายพิเชษฐ สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทยเคยออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับนายมงคลกิตติ์ ประกาศท่าทีจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล อ้างความเห็นตรงกันว่าจะไม่ขอรับการจัดสรรโควตาข้าราชการการเมืองจากพรรคพลังประชารัฐโดยยืนยันจะไม่มีการถอนคำพูดในภายหลัง ไม่ทำตัวกลับไปกลับมาแต่ท้ายที่สุดนายพิเชษฐ ก็กลับมาแถลงข่าวร่วมรัฐบาลกับพรรคเล็กเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ปล่อยให้นายมงคลกิตติ์ กลายเป็นฝ่ายค้านคนเดียว เนื่องจากตอนนั้นพรรคพลังประชารัฐรับปากจะจัดสรรเก้าอี้ทางการเมือง แต่สุดท้ายเมื่อพลาดเก้าอี้อีกหน ทำให้นายพิเชษฐออกมาเคลื่อนไหวขอถอนตัวร่วมรัฐบาลอีกครั้ง
อาการ “ชักเข้าชักออก” แบบนี้ เป็นที่น่าเอือมระอา แต่ทว่า เรื่องนี้ก็มีมุมให้มองได้หลายมุม
1.ตอนไปเกี้ยวพรรคเล็กๆ มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลนั้น ได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรกับเขาไว้บ้าง ครั้นมาร่วมรัฐบาลแล้ว ได้ทำตามที่พูดครบถ้วนไหม หรือแต่เอ่ยปากให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ตามสำนวนไทยที่ว่า “เคาะกะลาให้หมาดีใจ”
2.หากได้รักษาสัจจะสัญญาครบถ้วนแล้ว ก็แปลว่าฝ่ายพรรคเล็กพรรคน้อยเหล่านี้ ต่อรองไม่เลิก เพราะเห็นว่ารัฐบาลมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพ
3.ความไม่มีเสถียรภาพเช่นนี้ เกิดจากการออกแบบระบบ ที่เรียกว่า “จัดสรรปันส่วนผสม” อันต้องทบทวนว่า สร้างโอกาสให้แก่ประเทศ หรือสร้างปัญหาให้แก่ประเทศเพื่อดำเนินการแก้ไขมันซะ จะปล่อยให้บ้านเมืองฝากอนาคตไว้กับ “การเจรจาต่อรอง” อยู่ไม่ได้ เพราะเมื่อรัฐบาลไร้เสถียรภาพ จำนวน สส.พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถามว่านักลงทุนหน้าไหนจะมั่นใจต่อการลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพลุ่มๆ ดอนๆ แบบนี้ จะโหวตกฎหมายสำคัญแต่ละที ต้องมานั่งลุ้นกันว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน ถามว่ามันดีต่อบ้านเมืองอย่างไร?
4.หากต้องไปแก้ปัญหา ด้วยการเอา “งูเห่า” มาช่วยโหวต ถามว่า นี่คือ “การปฏิรูป” นี่คือการพัฒนาระบบประชาธิปไตยให้มีความก้าวหน้าอย่างนั้นหรือ? ประชาธิปไตยที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลและการชิงไหวชิงพริบ ดีกับการเป็นเยี่ยงอย่างของคนในชาติอย่างไร และอะไรคือ “ธรรมมาภิบาล” ของรัฐบาลแบบนี้
ทางที่แผ้วทางมาด้วย “กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ” และบทเฉพาะกาล บวกคำถามพ่วงของรัฐธรรมนูญ นึกว่าจะช่วยทำทางให้เป็น “ทางเตียน” ที่ไหนได้ กลายเป็น“ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์” เสียอย่างนั้น
นอกจากภาพยุ่งๆ อย่างที่ฉายให้เห็นข้างต้นแล้ว ยังมีปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้อง “ผ่านพ้น” ไปให้ได้ ในวันที่ 18 กันยายน 2562 นี้อยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(6) และมาตรา 98(15) หรือไม่ จากเหตุดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ หลังจากมีผู้ร้องเรียนให้มีการวินิจฉัย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้นัดวินิจฉัยในประเด็นนี้ในเวลา 14.00 น. เรื่องที่สองคือ สภาผู้แทนราษฎรจะเปิด “อภิปรายทั่วไป” ว่าด้วยปมกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ และเรื่องการไม่แถลงตัวเลขงบประมาณประกอบการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมร่วมสองสภา
ขอ “ลงลึก” เฉพาะเรื่องปมถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนเรื่องเดียวก็แล้วกันว่า
1) การอภิปรายทั่วไป หมายถึง ที่ประชุมสภา (ในที่นี้คือสภาผู้แทนราษฎร) เปิดประชุมเพื่อให้เกิดการ “ตั้งคำถาม” และ“เสนอแนะ” แต่ “ไม่มีการลงมติ” โดยครั้งนี้ เป็นเรื่อง “การกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณ” ไม่ครบถ้วนตามถ้อยคำในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๑
2) มาตรา ๑๖๑ นั้น กำหนดว่า... ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
3) ข้อเท็จจริง ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มิได้นำคณะรัฐมนตรีกล่าว “ให้ครบถ้วน” ด้วยถ้อยทำตามมาตรา ๑๖๑ ซึ่งหมายถึง มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
4) รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายใหญ่สุดในประเทศ การไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ = ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย // จึงเกิดประเด็นขึ้นมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ มิได้นำกล่าวด้วยถ้อยคำตามมาตรา ๑๖๑ ซึ่งบังคับไว้ว่า ให้ “ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์---ด้วยถ้อยคำต่อไปนี้” นั้น
ก) จะมีความผิดหรือไม่
ข) จะส่งผลให้ คำว่า “ก่อนเข้ารับหน้าที่” ซึ่งบัญญัติไว้ต้นมาตรานี้ หยุดอยู่แค่นั้น คือ รัฐมนตรีทั้งขณะ ยังไม่อาจรับหน้าที่ได้ เพราะติดอยู่ในขั้นตอนนี้ ที่ต้องวินิจฉัยว่า กระทำโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และสมบูรณ์ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญแล้วหรือไม่
5) พล.อ.ประยุทธ์ มักอธิบายว่า ขั้นตอนในพิธีดังกล่าวจบลงแล้ว องค์พระประมุขทรงมีพระราชดำรัสแล้ว ท่านคงสับสน ระหว่าง ขั้นตอนใน “พิธีเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตน” กับ “ขั้นตอนในรัฐธรรมนูญ”
6) ใช่ครับ, ขั้นตอนตามพิธีนั้นเสร็จแล้ว แต่ขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญนั้น ติดปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า การที่มิได้กล่าว “ด้วยถ้อยคำ” ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น ส่งผลให้ถือว่ายังมิได้ปฏิบัติให้สมบูรณ์ “ก่อนรับหน้าที่” หรือเปล่า นั่นแปลว่ายังไม่อาจรับหน้าที่ได้ใช่หรือไม่
7) ประเด็น “สำคัญ” จึงไม่ได้อยู่ที่ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ไม่กล่าวถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ อันนั้นเป็นข้อเท็จจริง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ และคนทั่วไปก็เพียง “อยากรู้” แต่รู้แล้ว ไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลง “รูปคดี” เพราะประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ “กล่าวไม่ครบแล้วส่งผลอะไรไหม” โดยเฉพาะผลต่อความสมบูรณ์ของการ “รับหน้าที่” ซึ่งกระทบกับเราทุกคน ทั้งคนที่ “อยากรู้” และคนที่ “ไม่อยากรู้”
8) การอภิปรายทั่วไป ทำได้เพียง “ซักถาม” กับ “เสนอแนะ”พูดง่ายๆ ภาษาชาวบ้านว่า “เรียกมันมาถาม “ เรียกมันมาเตือน” หรือ “เรียกมันมาด่า” หน่อยซิ 555 มันจึงอยู่ที่ว่า ฝ่ายค้านวางจุดยืนไว้ที่ตรงไหน จะอภิปรายเพราะเป็นห่วงว่าเรื่องนี้จะเป็นผลกระทบไปสู่ความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินใช่ไหม แหม...อันนี้ดีจริงๆ หรือเห็นเป็นแค่ “โอกาสทางการเมือง”ที่ “ต้องใช้”
9) สภา ไม่ได้มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องนี้ครับ และการอภิปรายทั่วไป ก็ไม่มีการ “ลงมติ” ด้วย มันจึงต้องหาคำตอบให้ได้ว่า เช่นนี้แล้ว จะอภิปรายกันทำไม วินิจฉัยก็ไม่ได้ ลงมติก็ไม่ได้ แถมกระเหี้ยนกระหือรือว่าจะต้องได้เวลาในการอภิปรายเยอะๆด้วย ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงก็เห็นแล้ว ว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้กล่าวถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญจนครบ ส่วนทำไมทำอย่างนั้น (วะ) เขาจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้อีก ส่วนข้อกฎหมาย ตัวเองก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัย นายกฯ ก็ไม่มี สภาก็ไม่มี เออ...แล้วจะอภิปรายกันทำไม?
10) ในเมื่อสภาไม่มีอำนาจวินิจฉัย แล้วใครมีอำนาจวินิจฉัย ขณะนี้มีผู้ไปยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้วครับ รอเพียงกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญว่า จะรับวินิจฉัยไหม จะวินิจฉัยเมื่อไร และจะลงเอยอย่างไร ซึ่งขณะนี้ ยังไม่มีคำตอบ แล้วขณะที่ยังไม่มีคำตอบ จะให้รัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน หรือจะให้ทำยังไง นี่แหละ คือปัญหาละ
11) พึงทราบว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดบทลงโทษหรือความผิดในเรื่องนี้ไว้ ความผิดเฉพาะตัวนั้นคงไม่มีแน่ แต่ผลพวงของการทำผิดรัฐธรรมนูญนี้ จะกระทบกับอะไร และต้องปฏิบัติต่อไปอย่างไร เช่น ต้องถวายสัตย์ใหม่ไหม ฯลฯ นั่นคือสิ่งที่สังคมไทยต้องรู้ ต้องได้คำตอบ ไม่มีคำตอบนี้ ไปต่อลำบากครับ และจะเป็นบรรทัดฐานว่า รัฐมนตรีสมัยต่อๆ ไป นึกจะกล่าวอะไรก็กล่าวได้เลย ไม่ต้องทำตามรัฐธรรมนูญใช่ไหม นี่คือคำถามที่ต้อง “หาคำตอบ” ร่วมกัน
ก็รอดูครับ ว่าฝ่ายค้านเขาจะ “ทำโชว์” ในการอภิปรายทั่วไปได้ดีหรือไม่ เพราะเอาเข้าจริง ประชาชนก็แสนจะเบื่อหน่าย และอยากเห็นการใช้สภาพูดถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มากและชัดกว่านี้ โดยไม่มีการตีรวนและตีสำนวนไปวันๆ
และทางอันคดเคี้ยวเลี้ยวลดของลุงตู่นั้น จะพาคนไทยขึ้นสวรรค์หรือลงนรก!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี