วันนี้โลกคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ผงาดขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจชั้นนำทางเศรษฐกิจที่มีความยิ่งใหญ่กว่ากลุ่มประเทศในซีกโลกตะวันตกที่ครองความเป็นหนึ่งมาอย่างยาวนานถึง 600 ปี นับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ยุคเรอเนสซองส์เมื่อปี ค.ศ. 1450 เป็นต้นมา
ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเขตปกครองพิเศษฮ่องกงในขณะนี้จากนโยบายหนึ่งประเทศ สองระบบของจีน ตั้งแต่อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน นายเติ้ง เสี่ยว ผิง ประกาศใช้นโยบายเพื่อพัฒนาจีนให้ก้าว/ไปข้างหน้าเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว กำลังเป็นที่สนใจว่ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง จะหาทางแก้ไขปัญหากับเขตปกครองพิเศษฮ่องกงนี้ อย่างไรจะนำไปสู่ความรุนแรงนองเลือดเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง อีกครั้งหรือไม่
ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาชนจีนทั่วทั้งโลกรวมทั้งในเมืองไทยต่างได้วิเคราะห์ปัญหาการเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยของคนหนุ่มคนสาวชาวฮ่องกงรุ่นใหม่ที่กำลังประท้วงรัฐบาลจีนที่ปักกิ่งอย่างรุนแรงถึงขั้นเรียกร้องขอเป็นเอกราชออกมาในทำนองคล้ายคลึงกันว่ารัฐบาลปักกิ่งไม่น่าจะใช้ความรุนแรงหรือใช้กำลังกองทัพอันเกรียงไกรของจีนเข้ามาจัดการกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดในฮ่องกงเพราะมีการมองแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยความเยือกเย็นของรัฐบาลที่ปักกิ่งว่าน่าจะมีการปล่อยให้สถานการณ์คลี่คลายไปในตัวของฮ่องกงเองเสียมากกว่า
เมื่อประมาณ 4 ศตวรรษก่อน ประเทศในทวีปเอเชียและทั่วโลกได้ถูกมหาอำนาจตะวันตกนักล่าอาณานิคมใช้นโยบายเรือปืน หรือกันโบ๊ทเข้ามาครอบครองแผ่นดินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทวีปอเมริกา,แอฟริกา, โอเชียเนีย, ออสเตรเลีย,ตะวันออกกลางและเอเชีย ฝรั่งผมทองผิวขาวจากอังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน,โปรตุเกส, เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา,เยอรมนี, อิตาลี, รัสเซีย ได้เข้ามาครองแผ่นดินเอเชียไว้ได้เกือบหมดยกเว้น 3 ประเทศ ที่ไม่ถูกยึดครองได้แก่ จีน, ญี่ปุ่น และไทย
ที่เหลือนอกนั้นล้วนต้องตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งผมทองทั้งสิ้น เช่น ดินแดนตะวันออกกลางทั้งหมดอนุชมพูทวีปหรืออินเดีย, เมียนมา, มาลายา, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์,อินโดจีน ฯลฯ จีนแพ้สงครามกับฝรั่ง2 ครั้ง ทั้งสงครามฝิ่นและการปราบกบฏบ๊อกเซอร์ได้ยอมยกดินแดนต่างๆ ของตนไปให้ฝรั่งเช่าระยะยาว เช่น ฮ่องกง, มาเก๊า, ส่างไห้, หนานจิง หรือเทียนจินญี่ปุ่นต้องยอมเปิดประเทศ ส่วนไทยเองก็ต้องยอมยกแผ่นดินประเทศราชไปให้แก่ฝรั่ง เช่น4 รัฐ ในมาลายา กับเกาะปีนัง อินโดจีน รวมไปถึงสิบสองปันนาและแคว้นฉานเพื่อรักษาดินแดนไทยเอาไว้
แต่ปัจจุบันนับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมาความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของจีนได้นำพาให้จีนที่ใช้นโยบายหนึ่งประเทศ สองระบบมา 4 ทศวรรษก้าวขึ้นมาผงาดอยู่แถวหน้าของการพัฒนาเศรษฐกิจโลกปี 2019 นี้ มีข้อมูลแน่ชัดที่ระบุว่ากลุ่มชาติเอเชียเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกมากกว่าฝรั่งผมทอง ได้แก่ จีนซึ่งมีประชากร 1,410 ล้านคน รายได้ประชาชาติมากเป็นอันดับหนึ่ง 27.330 ทริลเลี่ยนดอลลาร์ ในขณะที่สหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 2 ประชากร 327 ล้านคน รายได้ประชาชาติ 20.494 ทริลเลี่ยนดอลลาร์
อันดับ 3 ได้แก่ อินเดีย ที่มีประชากร 1,325 ล้านคน รายได้ประชาชาติ 11.48 ทริลเลี่ยนดอลลาร์ อันดับ 4 ญี่ปุ่น ประชากร 126 ล้านคนรายได้ประชาชาติ 5.75 ทริลเลี่ยนดอลลาร์ ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย รายได้ประชาชาติ 3.75 ทริลเลี่ยนดอลลาร์ เกาหลีใต้ รายได้ประชาชาติ 2.241 ทริลเลี่ยนดอลลาร์ ไทย รายได้ประชาชาติ 1.390 ทริลเลี่ยนดอลลาร์ ไต้หวัน 1.306 ทริลเลี่ยนดอลลาร์ และเขตปกครองพิเศษฮ่องกง 502 พันล้านดอลลาร์
กงล้อของประวัติศาสตร์ของโลกได้หมุนกลับมาสู่เอเชีย 3 มหาอำนาจใหม่ ได้แก่ จีน, รัสเซียและอินเดีย ที่มีการทำสนธิสัญญาค้าขายพลังงานระหว่างกันโดยรัสเซียเป็นผู้ขาย ในขณะที่ซีกโลกตะวันตก ทั้งสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี มีอำนาจซื้อลดลงไปมากทำให้ภาพรวมของโลกตะวันตกไม่ได้เป็นแกนนำของเศรษฐกิจโลกแบบเดิมแล้ว
สำหรับฮ่องกงนั้นปัจจุบันไม่ได้เป็นแกนหลักในการผลักดันเศรษฐกิจของจีนเหมือน 20 ปีก่อน จีนได้พัฒนานวัตกรรมการผลิตที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพัฒนาอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพัฒนาใหม่ที่มณฑลกวางโจว ในเสิ่นเจิ้น, ฝ่อซาน, ตงก้วน,เฉาโจว, อูไห่, ซั่นโถว นอกจากนี้ยังมีเขตกรุงปักกิ่ง, ส่างไห้, เทียนจิน, หนานจิง, จุงกิง,อู่ฮั่น, เฉิงตู, เสิ่นหยาง, หางโจว, ซูโถว, เซียะ,เฉิงโจว, ฮาร์บิน, ต้าเหลียน และซิงเต่า ทำให้ความสำคัญของฮ่องกงค่อยๆ หมดความสำคัญลงไป
นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญได้พยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตอีก 1 ทศวรรษข้างหน้า ว่าประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีนน่าจะทำให้การบริหารการปกครองในระบบหนึ่งประเทศสองระบบเป็นไปได้ด้วยดีกับไต้หวันที่มี ไช่ อิง เหวิน เป็นประธานาธิบดีไปได้ราบรื่น ในขณะที่ปัญหาที่เกาะฮ่องกง,ทิเบตและซินเจียง อุยกูร์ น่าจะมีความราบรื่นมากขึ้นเรื่อยๆ กาลเวลาจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ทุกๆ ฝ่ายล้วนจะได้ประโยชน์หรือต่างวินวินด้วยกันในท้ายที่สุด
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี