จะเพียงพูดติดตลก ทีเล่นทีจริง พูดเหน็บแนม หรือจะเพราะอะไรดลใจก็ตาม คำพูดของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถามหา สส.พรรคเพื่อไทย ว่าทำไมไม่เห็นมาต้อนรับ ก็เป็นลูกศรที่พุ่งย้อนกลับ มาตัดขั้วหัวใจของตัวท่านเองและเปิดทางให้อีกฝ่าย “ได้พื้นที่ข่าว” ไปเต็มประตู
ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุรุษที่ “ปากเป็นภัย” กับตัวเอง ต่อให้บรรจุอีกกี่ร้อย “ซินแส” เข้ามาเป็นข้าราชการการเมือง ก็ไม่ช่วย จนกว่าเจ้าตัวจะ “มีสติ” คิดก่อนพูด พูดให้สร้างสรรค์ และบริหารบ้านเมืองอย่างมียุทธศาสตร์ ตลอดจน “สร้างความรับรู้เชิงบวก” ต่อส่วนรวมให้ได้ ไม่เช่นนั้น พื้นที่ “อีสาน” โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งกับอุทกภัย จะกลายเป็น“ลานประหาร” ทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ได้
จะเข้าใจประเด็นที่ว่า อีสานอาจเป็น “จุดตาย” ของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ ต้องเข้าใจองค์ประกอบหลักๆ ว่า
1. “อีสาน” เป็นพื้นที่ช่วงชิงและชี้ขาดทางการเมือง
2 “อีสาน” เป็นพื้นที่เข้มแข็งของฝ่ายทักษิณ ซึ่งในทางการเมือง ถือเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ พล.อ.ประยุทธ์
3. “อีสาน” เจอปัญหาภัยแล้งอยู่ดีๆ ก็มามีปัญหาอุทกภัยเกิดขึ้น ในท่ามกลางความฝืดเคืองของเศรษฐกิจ ที่เป็นต้นทุนติดลบก่อนหน้านี้ของรัฐบาลนี้ และหลังจากนี้ จะถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตินาล่มบ้านพัง ขาดการประกอบอาชีพในช่วงที่น้ำท่วม เงินหมดมือ ชีวิตหลังจากน้ำลดแล้ว จึงเป็นภาวะชี้เป็นชี้ตายรัฐบาลประยุทธ์ 2
4. คนในทุกวันนี้ มี “โซเชียลมีเดีย” เป็น “จักรวาล” อะไรที่อยู่ในนั้นแปลว่าเกิดขึ้นจริง อะไรที่ไม่อยู่ในนั้น แปลว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น มันไม่มีอยู่ และพร้อมที่จะก่นด่ากันอย่างหนักหน่วง
5. ภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในโลกโซเชียลมีเดีย ไม่ดีนัก ไอ้คนที่รักก็รักสุดโต่ง เชียร์สุดลิ่มทิ่มประตู ไอ้คนที่ชังก็ชังสุดขั้ว ด่าทอกันไปมาอย่างไม่มีขอบเขตยุติ พล.อ.ประยุทธ์ มี “นักรบ” ที่จะรบในสนามนี้ไหม?
6. เมื่อ “อีสาน” ถูกทำให้เป็นสมรภูมิรบ โดยลากการรบให้ไปเกิดใน “โลกออนไลน์” ไม่ใช่ในโลกจริง สถานการณ์ของรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ จึงกำลังตกที่นั่งลำบาก
ประเด็นแรก : ที่ พล.อ.ประยุทธ์ โดนประหารไปแล้วในโลกออนไลน์คือ “ไม่ไปดูน้ำท่วม ไปผัดผักใบเหลียงกับกำนันสุเทพ”ดูเผินๆ เหมือนเป็นเรื่อง “ปัญญาอ่อน” แต่เรื่องอ่อนๆ แบบนี้แหละที่คนดราม่า คือ “มีความรู้สึก” กับมันมาก
ในความเป็นจริง พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมปัญหาไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่มันไม่เป็นข่าวสำคัญพอให้คน “จำ”ครั้นมีคนปั่นกระแสว่า อุบลฯ น้ำท่วมหนักจะแย่ แทนที่นายกฯจะไปตรวจเยี่ยม สั่งการ บัญชาการ กลับไปยิ้มระรื่นอยู่กับ“สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่เกาะสมุย ผัดใบเหลียง เลี้ยงคนร่วมงาน จะอยากเชื่อหรือไม่อยากเชื่อก็ตาม คน “มีอารมณ์ร่วม” กับเรื่องนี้มากจนคอลัมนิสต์ การ์ตูนนิสต์ ก็หยิบไป “ทำซ้ำ” จนย้ำให้เป็นประเด็น “ฝังใจ” ไปเรียบร้อยแล้ว
อันที่จริง การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไปเปิดงานสมุย เฟสติวัล ก็ไม่ได้ผิดอะไร งานดังกล่าวเป็นงานดี มีประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แต่คนกลับถูก “ชี้นำ” ให้ไปจับจ้องที่ความสัมพันธ์ระหว่าง “ไอ้ตู่” กับ “ไอ้เทือก” แทน โดยเฉพาะพวกที่ “เกลียดรัฐประหาร” เข้ากระดูกดำ ภาพยิ้มระรื่นของสองคนนี้ก็ “หลอนประสาท” จนออกอาการอย่างหนักหน่วง และไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกัน ในท้ายที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องไปตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมอีกครั้งอยู่ดี จนไปมี “โอษฐภัย”ให้กลายเป็นข่าวติดลบอีกระลอก
ประเด็นที่สอง : บริจาคกับ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์”ดีกว่าบริจาคกับรัฐบาล กลายเป็นอีกหนึ่งความเพลี่ยงพล้ำของ พล.อ.ประยุทธ์ กับรัฐบาล การไม่สร้างความรับรู้ที่เป็นระบบ ว่ารัฐบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วมอย่างไร ทำให้คนได้รับข่าวสารจากด้านอื่น เช่น จากจิตอาสา จากดารา จากสื่อ จากโซเชียลมีเดีย ซึ่งใครอยู่ตรงไหนก็บรรยายจากตรงนั้น ไม่เห็นระบบ ไม่เห็นภาพรวมหรอก แถมคนทำงานตัวจริงส่วนใหญ่ สาละวนอยู่กับการแก้ไขปัญหา แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่มีเวลาจะถ่ายทอดสดทางโซเชียลมีเดีย ไม่มีเวลาจะโพสต์ จะอวด หรือจะสื่อสารอะไรทั้งนั้น พื้นที่การรับรู้มันจึง “เอียง” โดยที่รัฐบาลก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจอะไร ถือว่าคนของรัฐและกองทัพ พร้อมด้วยจิตอาสา ล้วนทำงานอยู่ ต่อไปนี้จะคิดด้วยระบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว โลกเคลื่อนมาถึงยุค “อวดดี” คือ ทำอะไรต้อง “อวด” ต้อง “โชว์” ต้อง “บอก”
ผมเองเคยเสนอให้รัฐบาลตั้งวอร์รูม ทำตัวเป็นศัตรูกับน้ำแทนประชาชน และจะปกป้องประชาชนจากการโจมตีของน้ำให้ดีที่สุด ด้วยการรายงานให้เห็นว่า เครือข่ายของรัฐ ทั้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน ผู้ว่าราชการจังหวัดอบต. อบจ. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทหาร อาสาสมัคร กู้ภัย แพทย์สาธารณสุข พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เกษตร ฯลฯ“สู้กับน้ำ” แทนท่านกันอย่างไร
มี “ผู้บัญชาการสถานการณ์” ซึ่งจะเป็นตัวนายกฯ เอง หรือมอบหมายให้ใครก็ได้ เหมือนที่เคยมอบหมายให้ผู้ว่าณรงค์ศักดิ์ บัญชาการสถานการณ์ตอน “เด็กติดถ้ำ” ตอนนั้นการดำเนินการเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ใครอยากช่วย หากไม่เข้าสู่ระบบ ก็ไม่ให้ช่วย เอาคนมาบอก เอาเครื่องมือมาแจ้ง แล้วเดี๋ยวผู้บัญชาการสถานการณ์สั่งเองตามยุทธศาสตร์การแก้ปัญหา ปัญหาก็ถูกจัดการอย่างเป็นระบบเครื่องมือและผู้คนถูกจัดสรรอย่างถูกที่ถูกทาง ไม่ซับซ้อนไม่เปล่าประโยชน์ พร้อมกันนั้น ก็สื่อสารการรับมือกับปัญหาออกมาอย่างมีเอกภาพ น่าเชื่อถือ และต้องคอยติดตาม
แต่พอระบบนี้มันไม่ได้ทำ ไม่ได้โชว์ (แต่การทำงานน่ะมีดีและจริงจังด้วย) มาเจอการร้องไห้โฮของพี่บิณฑ์ พร้อมๆ กับประโยคคำถามว่ารัฐบาลทำอะไรอยู่ มาผมทำเอง ผมจะควักเงิน 1 ล้านของผมมาช่วยพี่น้องเอง ข่าวทั้งหมดก็เทมาที่บิณฑ์ พร้อมๆ กับคำถามที่บิณฑ์เป็นคนจุดประเด็นว่า “แล้วรัฐบาลล่ะ ทำอะไรอยู่” นักรบคีย์บอร์ด ผู้มีจิตใจงามก็เลยถูกลากไปตั้งคำถามด้วยว่า ภาษีกูอยู่ไหนวะ งบประมาณอยู่ที่ไหน ทำไมต้องให้บิณฑ์ควักเงิน จากนั้นความรู้สึกภายใต้กรอบคิดนี้ ก็ขยายตัวเป็นวงกว้าง เหมือนน้ำที่หลากมาท่วม จน พล.อ.ประยุทธ์ สำลัก แทบจะด่าวดิ้น
ครั้นมาจัดงานระดมทุน โดยขาดการอธิบายการทำงานและการใช้งบประมาณในภาพรวมซึ่งสั่งไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมแล้ว อยู่กับจังหวัด จังหวัดละ 50 ล้าน ใช้งานได้เลย และใช้กันอยู่ จริงๆ ยังไม่ได้กระทบจนถึงขั้น “ขาดเงิน” ที่จะแก้ปัญหาด้วยซ้ำ คนจึงตั้งคำถามและล้อเลียนว่า “ลอกการบ้านบิณฑ์” ไม่คิดเอง ไม่ทำเอง แถมเงินที่มีคนมาบริจาคก็ดันมาจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทในกลุ่ม “ประชารัฐ” เสียเป็นส่วนใหญ่อีก เจอข่าวบังคับให้บิณฑ์มาออกรายการด้วยกันอีก แถมให้บิณฑ์มานั่งเด๋อๆ ด๋าๆ ไม่มีอะไรให้เขาทำอีก มันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ คนไม่มีเวลามานั่งคิดหรอก ว่าบิณฑ์ได้เงินไปก็เอาไปเดินแจก นั่นแปลว่าเงินที่จะใช้ในศูนย์พักพิง เงินที่จะใช้กับถุงยังชีพ และการจัดซื้อเครื่องมือที่จำเป็นเฉพาะหน้า มันไม่ได้มีปัญหาอะไร บิณฑ์แค่เอาเงินที่ได้มาไปเดินแจกชาวบ้าน ซึ่งรัฐทำอย่างนั้นไม่ได้ในเวลานี้ เพราะเงินรัฐ มันมีระบบของการอนุมัติ เบิกจ่าย และรายงานให้ถูกต้องตามระเบียบของการใช้เงินแผ่นดิน
ประเด็นที่สาม : ไปกล่าววาจาที่เป็น “โอษฐภัย” ไม่ได้ไปสร้างภาพบวกและความหวัง พอ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจบินไปอุบลฯ อีกรอบ แทนที่จะไปพร้อมกับ “อะไรสักอย่าง” ที่จะยึดพื้นที่ข่าวได้ เช่น แผนการรองรับเมื่อน้ำลดแล้ว ที่จะทำให้ประชาชนซึ่งกำลังเครียด หมดหวัง สิ้นหวังกับชีวิต ว่าบ้านก็พัง งานก็ไม่ได้ทำนาก็ล่ม มีกำลังใจ มีความหวัง และอดทนรอน้ำลดอย่างสงบไม่ตกเป็นเหยื่อการยุยงปลุกปั่น ล่าเลยครับ ท่านกลับไปเหมือน“พูดจาหาเรื่อง” ว่านี้ สส.พรรคเพื่อไทยไปไหนล่ะเนี่ย ไม่เห็นมาต้อนรับแม้ภายหลังจากบอกว่า ถ้ามาก็จะได้ซักถามปัญหา ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
นายกฯ มีหน้าที่ยืนยันว่า ระบบของราชการ ทหาร และจิตอาสา ที่ทำอยู่นี้ “ดีพอ” และ “ขอขอบคุณทุกๆ คนที่ร่วมใจกันลำพังรัฐบาลคงทำไม่สำเร็จ นี่ชี้ให้เห็นว่า เวลาที่คนไทยรวมใจกัน แม้กระทั่งภัยธรรมชาตินั้น ก็ทำลายพวกเราไม่ได้” อะไรทำนองนี้ ไม่มี! กลับไปพูดจาทิ่มแทง หาเรื่อง ให้คนเขาหมั่นไส้เอาอีก พูดไปร้อยประโยคพันประโยค มีประโยคเดียวที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดไป ที่ทำไป ได้เรียนรู้อะไรบ้างไหมครับ
ถัดมาสองสามวัน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ขนทีมงานใส่เสื้อแดงแปร๊ด ลงพื้นที่ แย่งชิงพื้นที่ข่าวทันที พร้อมๆ กับย้ำ “จุดอ่อน” ของรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ให้คนลืม เธอจะได้คะแนนมากขึ้นหรือไม่ ไม่ได้สำคัญเท่า กับเธอได้ทำลายความนิยมชมชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ต่ำลงไป นั่นคือ “กำไรทางการเมือง”จากการลงพื้นที่ “อย่างจงใจ” รอบนี้ พร้อม “เสื้อสี” และภาพสัญลักษณ์ “หลวงพ่อทักษิณ”
ประเด็นที่สี่ : นับจากนี้ไป พล.อ.ประยุทธ์ จะ “กู้ภัยตัวเอง”ได้อย่างไรบ้าง พูดง่ายๆ ว่า ขณะนี้คะแนนนิยมของท่านอยู่ในช่วง “ขาลง” เพราะนับแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ มาท่านยังไม่ได้ “สร้างผลงาน” อะไรเลย นอกจากไล่แก้ปัญหาเรื่อง เขียนกติกาให้ตัวเองได้เปรียบ เอา สว.มาช่วยโหวต คำนวณคะแนนปาร์ตี้ลิสต์แบบแปลกๆ ตั้งคนสีเทามาเป็นรัฐมนตรี หนีสภา กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่าเรื่องปากท้องทุกข์สุขของประชาชน
บัดนี้ท่านผ่านพ้นแล้ว ทั้งเรื่อง “ความเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” และเรื่อง “ปมถวายสัตย์ปฏิญาณ” ก็หันมาชู “แผนงาน” ที่จะกลายเป็น “ผลงาน” ไม่ใช่ “แผล” แล้วเดินหน้าผลักดันให้มันจริงจังเสียที
ปัญหาใหญ่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นับแต่รอบที่เป็นหัวหน้า คสช. จนมาต่อรอบนี้ คือปัญหาเศรษฐกิจระดับชาวบ้าน คนมีปัญหาเรื่อง “เงินขาดมือ” อัตราการจ้างงานต่ำ ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ สภาพดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ ซึ่งไม่ต้องเอาตัวเลขอะไรไปเถียงกับเขา เพราะเขาพูดจาก “ชีวิต” ไม่ใช่ “ตัวเลข”
ตอนนี้ภาคใต้ค่อยยังชั่วขึ้น จากการแก้ปัญหาราคาปาล์ม ยาง แต่ยังไม่นิ่งนะครับ แค่รู้สึก “มีความหวัง” ขึ้นมานิดหน่อย ประมงยังเคลียร์อยู่ในกลุ่มคนที่ถูกยึดเรือ คนที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวจากการออกกฎหมายเพื่อดิ้นให้หลุดธงเหลืองธงแดงของไอเคโอ
อีสานกับเหนือ จะเป็นตัว “ท้าทาย” รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเมื่อน้ำทยอยลด ชีวิตของประชาชนจะ “ไปต่อ” อย่างไร ภายใต้ “การบริหารจัดการ” ของรัฐบาล
ภัยแล้งและอุทกภัย ทำให้พื้นที่อีสาน “ไม่มีผลผลิต” มาเข้าสู่ระบบ “ประกันราคา” อะไรจะไปชดเชยเยียวยาในส่วนนั้น อาชีพใหม่ระยะสั้น พืชทดแทน ต้นทุนทำกิน ทรัพย์สินบ้านเรือน ฯลฯ ล้วนเป็นปัญหาที่ “เรียกน้ำตา” ของชาวบ้านทั้งนั้น มันมืดแปดด้านกับการจะ “เดินหน้าต่อ” หากรัฐบาลมีโครงการ มีแผนงานที่จะเป็น “แสงสว่าง” ให้แก่พวกเขาได้ และสื่อสารกับสังคมได้ดี ดึงสังคมเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนช่วย หลายๆ มือช่วยกันประคองพี่น้องอีสานบ้านเรา โดยปราศจากการรบกวนทางการเมือง ทางก็ราบรื่นแน่
แต่...กลับไปอ่านข้อ 1 อีสานเป็นพื้นที่ช่วงชิงและชี้ขาดทางการเมือง!!
ในท่ามกลางการช่วงชิง หากรัฐบาลไม่เตรียมพร้อมทั้งการ “ทำงานในพื้นที่” และ “การประชาสัมพันธ์ให้คนรู้” โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นจักรวาลของมนุษย์สมัยนี้ แล้วต้องเจอเฟคนิวส์เหมือนที่เจอข่าวว่า รื้อศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งออก ย้ายคนไปอีกจุด เพราะเป็นเส้นทางที่นายกฯ จะผ่าน ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ผ่านไปทางนั้นเลย ท่านจะมีอาการแค่ “ทรงกับทรุด”
ถึงเวลาแล้วครับ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องยอมรับว่า ปากและอารมณ์ของตนคือปัญหา ตามมาด้วยการทำงานที่ไร้เอกภาพและยุทธศาสตร์ ขาดวิสัยทัศน์ที่คมชัด และขาดทีมสื่อสารกับสังคมที่เท่าทันคู่ต่อสู้
เหลียวดูรอบตัว มีใคร “สนับสนุนการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์” บ้าง พรรคพลังประชารัฐทะเลาะกันเองอยู่เรื่อยๆ พรรคเล็กๆ ไม่นิ่ง คนที่ พล.อ.ประยุทธ์ตั้ง มีตำหนิให้โจมตี พล.อ.ประยุทธ์ เองไม่ได้ “มีความรู้พอ” ที่จะบริหารประเทศ ต้องพึ่งคนอื่น พรรคอื่น รัฐมนตรีของพลังประชารัฐหาความโดดเด่นในยามนี้ไม่ได้สักคน ต่างรักษาตัวรอด ปล่อย พล.อ.ประยุทธ์ ปะทะกับปัญหาเอง ในขณะที่ท่านเองไม่มีวิสัยทัศน์พอที่จะชูอะไรขึ้นมาเป็นผลงาน เพราะลำพังตัวท่านไม่ได้มี “โปรเจกท์” หรือ “ชิ้นงานใดๆ”อยู่ในมือเลย
ดังนั้น หากอีสานไม่ถูกบริหารจัดการให้ดีพอหลังน้ำลดแล้วตามมาด้วยการเลือกตั้งท้องถิ่น และตามมาด้วยการอภิปรายงบประมาณฯ ผมนึกไม่ออกเลยว่า รัฐบาลของท่านจะอยู่ต่อไปอย่างไร ให้มีกราฟผลงานที่กระดกหัวขึ้น ท่ามกลางความนิยมชมชอบที่เพิ่มพูนขึ้น!!
ทักษิณ-ซึ่งถูกวางให้เป็นศัตรูตัวฉกาจ (โดยพวกท่านเอง) ยังมีอิทธิพลในอีสาน หากท่านไม่ชนะใจคนในรอบนี้ได้ งานทักษิณก็ง่าย คือ รอให้เศรษฐกิจไทยพังยับคามือ พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากนั้นความพินาศทางเศรษฐกิจ บวกกับการขยายแนวคิดทางการเมืองแบบ “พรรคอนาคตใหม่” และซ้ำเติมด้วยการจบลงอย่างคลุมเครือของปมถวายสัตย์ปฏิญาณ อาจส่งผลสู่ “การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง” ของประเทศไทย
อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากความชิงชังต่อกันอย่างสุดขั้วยังถูกใช้งานอยู่ หากความคลุมเครือของอำนาจฝ่ายต่างๆและกติกาที่สร้างความ “คาใจ” ยังมีอยู่และชัดขึ้นเรื่อยๆ ในยุคที่ผู้นำรัฐบาลเป็นคนที่ดูจะมี “บาดแผล” มากกว่าเป็นสัญลักษณ์แห่ง“ความหวัง” ของผู้คน
พล.อ.ประยุทธ์ คือ “จุดเปลี่ยน” ของบ้านเมืองจริง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี