ผ่านพ้นไปแล้วกับด่านทดสอบแรก ในการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของพล.อ.ประยุทธ์ ที่แม้จะได้รับบาดแผลมาบ้าง แต่ก็ล้วนเป็นแผลถลอก ฟกช้ำเท่านั้น และหลายคนมองว่าน้อยกว่าที่คาดไว้มาก ใช้เวลาหรือหาวิธีรักษาไม่นานก็หาย อย่างแผลจากเสียงปริ่มน้ำของรัฐบาล แม้ช่วงที่ผ่านมาจะสามารถเอาตัวรอดมาได้อยู่แล้ว แต่จากกระแสข่าว สส.ฟากฝ่ายค้านจะย้ายมาร่วมพรรคฝั่งรัฐบาล? ก็ยิ่งดูจะตอกย้ำความเข้มแข็งของรัฐบาลไปอีก แม้จะยังไม่มีอะไรแน่นอนแต่เป็นอย่างไรเดี๋ยวสมัยประชุมหน้าก็จะทราบ หรือจะเป็นแผลที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยอย่างการถูกโจมตีเรื่องการทำงานด้านเศรษฐกิจ แต่หลัง 1 ตุลาคมนี้เริ่มใช้ปีงบประมาณใหม่ ก็จะมีแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของรองนายกฯสมคิด ตามที่ประกาศไว้เริ่มนับหนึ่งได้แล้ว ในทางกลับกันซีกฝ่ายค้าน ที่ทางพรรคอนาคตใหม่ เมื่อตกเป็นเป้าเสี่ยงที่จะถูกยุบพรรคหรือไม่? จากประเด็นเงินกู้? ส่วนทางพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มที่อาจจะแค่โดนดูด สส.ตามที่เป็นข่าว แต่สุดท้ายก็คงย้ายพรรคไม่ได้ตามกฎหมาย เต็มที่ก็อาจเกิดกลุ่มที่จะโหวตสวนมติพรรค ซึ่งจะเกิดขึ้นหรือไม่? ต้องติดตามกันต่อ
กระแสข่าวที่ในช่วงนี้ ที่หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นความเสียหายไม่น้อยกับฟากฝ่ายค้าน ในประเด็นของ งูเห่า ที่ว่ากันว่าจะเกิดการย้ายค่ายมาร่วมรัฐบาลถึง 14 เสียง? หรืออาจมากกว่านั้น หากมองถึงการโหวตตั้งคณะกรรมาธิการฯ โครงการอีอีซีที่ผ่านมา ที่มีเสียงฝ่ายค้านหายไปถึง 16 เสียง โดยเรื่องดังกล่าวหากมองผ่านๆ ก็เหมือนกับว่าเป็นเพียงข่าวลือ แต่ทว่าหากมองให้ลึกไปกว่านั้น จะพบว่ามีต้นสายปลายเหตุที่น่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการโต้ตอบด้วยอารมณ์ของขุนพลเสื้อแดงอย่างนายวัฒนา ถึงกรณีงูเห่า พร้อมทั้งโจมตีประวิตรในคราวเดียวกันผ่านสื่อโซเชียล หรือการออกมาพูดดักคอ สส.งูเห่าผ่านสื่อของคุณหญิงสุดารัตน์ และยังไม่นับรวมคนดังอีกหลายคนที่ออกมาให้ความเห็นถึงกรณีดังกล่าว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการการพูดหรือขยับใดๆ ก็ตามของหลายฝ่าย กลับยิ่งตอกย้ำถึงประเด็นดังกล่าวว่ามีเค้าลางความจริงใช่หรือไม่?
อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้หลายคนเป็นห่วงถึงสถานการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ ก็คือการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตของนายธนาธร หัวหน้าพรรคเอง ที่ตีเป็นตัวเลขประมาณ ห้าพันกว่าล้าน ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่คงไม่มีประเด็นอะไร ถ้าก่อนหน้านี้ กกต. ไม่ได้รับเรื่องร้องจากนายศรีสุวรรณ เกี่ยวกับการปล่อยกู้เงินให้พรรคอนาคตใหม่ ที่ดูจะเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560มาตรา 62 ที่ไม่ได้ระบุ “เงินกู้” ไว้ใน “รายได้อื่น” นอกเหนือจากรายได้ 7 ประการของพรรคการเมือง? ซึ่งการที่ ป.ป.ช ประกาศบัญชีทรัพย์สินของนายธนาธรวานนี้ ทำให้ กกต. ที่รอตัวเลขที่ชัดเจนอยู่แล้ว เริ่มเดินหน้าคดีดังกล่าวทันทีใช่หรือไม่?
โดยจะมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งในสัปดาห์หน้า ซึ่งน่าสนใจว่าคดีนี้จะออกมาในหน้าใด? ซึ่งหลายฝ่ายก็วิเคราะห์ล่วงหน้ากันแล้วว่าจะมีผลอย่างไรบ้าง? จากความผิดพลาดส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังมีปมเรื่องการถือหุ้นสื่ออีกด้วยใช่หรือไม่? ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายไว้เดือนตุลาคมที่ไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ นายธนาธร ยังถูกตั้งเป้าโจมตีเรื่องของการยังไม่นำทรัพย์สินเข้าบลายด์ทรัสต์ ซึ่งหากว่ากันตามจริงแล้ว ก็ไม่มีข้อกฎหมายใดที่บังคับใช้ว่านายธนาธรต้องปฏิบัติตามหน้าที่ดังกล่าว แต่หากจำกันได้นายธนาธรคือผู้ประกาศเองว่าต้องการสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่ และเพื่อป้องกันข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจของครอบครัว แต่จนถึงวันนี้หลายคนจึงสับสนกับสิ่งที่ประกาศไว้กับสิ่งที่ทำจริง ลามไปถึงความสงสัยต่อมาตรฐานในการทำงานของพรรคอนาคตใหม่หลังจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะอีกสิ่งหนึ่งที่นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ได้เปิดประเด็นไว้ในการรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญ นั้นจึงคาดเดาไม่ออกว่าสุดท้ายแล้วเป้าที่แท้จริงคืออะไร?
ขณะเดียวกัน กกต. ที่ฟอร์มกำลังเข้าฝักก็ทำอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกมองว่าสะเทือนเกมการเมืองในช่วงนี้หรือไม่ ด้วยการแจกใบเหลือง ใบแดง และใบดำแก่ผู้สมัครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนายกรุงศรีวิไลสุทินเผือก สส.เขต 5 สมุทรปราการ จากพรรคพลังประชารัฐ ที่โดนใบเหลืองและ กกต. สั่งให้เลือกตั้งใหม่จากข้อกล่าวหากรณีบุคคลใกล้ชิดใส่ซองช่วยงานศพ ซึ่งกกต.เห็นว่าเข้าข่ายเป็นความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส. มาตรา 73 (1) หรือนายชาติชาย วรพิพัฒน์ ผู้สมัคร สส. เขต 2 จันทบุรี จากพรรคประชาธิปัตย์จากข้อกล่าวหาว่ามาจากเหตุซื้อเสียงหรือไม่ ซึ่งทั้งสองกรณียังอยู่ในระหว่าง กกต.ยกร่างคำวินิจฉัยและคำร้องเพื่อยื่นต่อศาลฎีกาตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส. ซึ่งหากศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามที่ กกต. เสนอ ภายในระยะเวลา 1 ปีนับจากวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 อาจจะต้องมีการคำนวณคะแนนสส.บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใหม่ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส.มาตรา 131 แต่ถ้าหากศาลฎีกามีคำพิพากษาหลังระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 ก็จะไม่มีการคำนวณคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ใหม่ ซึ่งก็ต้องรอการตัดสินจากศาลฎีกาต่อไป แต่ส่วนที่น่าสนใจคือกรณีของนายนวัธ เตาะเจริญสุข สส. เขต 7 ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ที่ถูกศาลจังหวัดขอนแก่นตัดสินประหารชีวิต ในคดีจ้างวานฆ่านายสุชาติ โคตรทุมอดีตปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่นซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือศาลไม่ให้ประกันตัวนายนวัธ และมีคำสั่งให้ส่งตัวเข้ารับโทษที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษทันที ทำให้นายนวัธ น่าจะต้องหลุดจากความเป็น สส. หากยึดตามการวิเคราะห์ของเลขาธิการสภาฯ ที่มองว่าเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อเรื่องถึงเช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีการเลือกตั้งใหม่ขึ้น ประกอบกับพื้นที่ที่เตรียมจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่แล้ว อย่างนครปฐม เขต 5 และกำแพงเพชรเขต 2 ทำให้ตัวแปรการเมืองในช่วงนี้ยังเปลี่ยนไปขึ้น-ลงได้ตลอดใช่หรือไม่?
“…หากหัวใจของผู้ใดตายแล้ว มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะสามารถบันดาลให้มันฟื้นคืนมาได้
หนึ่งคือความรัก หนึ่งคือความแค้น…”
โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี